เมณฑกปัญหา วรรคที่หนึ่ง

ก่อนหน้า

๖ อัพภาวัคกันติปัญหา ๖

ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระพุทธพจน์นี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ตรัสแล้วว่า 'ภิกษุทั้งหลาย ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมี ก็เพราะความที่ปัจจัยทั้งสามประชุมพร้อม กันแล : ในโลกนี้ มารดาบิดา เป็นผู้ประชุมกันแล้วด้วย มารดาเป็นหญิงมีระดูด้วย คนธรรพ์เป็นสัตว์เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าด้วย; ภิกษุทั้งหลาย ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมี เพราะความที่ปัจจัยทั้งสามเหล่านี้ประชุมพร้อมกันแล., พุทธพจน์นี้ตรัสปัจจัยหาส่วน เหลือมิได้ ฯลฯ ตรัสปัจจัยไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ ตรัสปัจจัยไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ ตรัสปัจจัย ไม่มีปริยาย พระพุทธพจน์นี้ตรัสปัจจัยไม่มีข้อลี้สับ พระพุทธพจน์นี้อันพระผู้มีพระภาค เจ้า เสด็จนั่ง ณ ท่ามกลางแห่งบริษัทกับทั้งเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตรัสแล้ว. ก็แต่ ว่า ความหยั่งลงสู่ครรภ์เพราะความที่ปัจจัยทั้งสองประชุมพร้อมกัน ยังปรากฏอยู่ว่า 'พระดาบสชื่อ ทุกุละลูบคลำนาภีแห่งนางตาปสืซื่อ ปาริกา ด้วยนิ้วแม่มือเบื้องขวา ใน กาลแห่งนางตาปลีเป็นหญิงมีระดู, กุมารขื่อ สามะ เกิดแล้ว เพราะความที่พระดาบส นั้นลูบคลำนาภีนั้น. แม้พระฤษีซึ่อมาตังคะ ลูบคลำนาภีแห่งนางพราหมณีกันยาด้วย นิ้วแม่มือเบื้องขวา ในกาลที่นางเป็นหญิงมีระดู, มาณพ ชื่อ มัณฑัพยะ เกิดขึ้น เพราะ ความที่ถุษีชื่อ มาดังคะ นั้นลูบคลำนาภีนั้น., พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ตรัสแล้วว่า 'ภิกษุทั้งหลายความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมีก็เพราะความที่ปัจจัยทั้งสาม ประชุมพร้อมกันโดยแท้, ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'สามกุมารด้วยมัณฑัพยมาณพด้วย แม้ทั้งสองอย่างนั้นเกิดแล้วเพราะความลูบคลำนาภี, ดังนี้นั้นผิด.ถ้าพระตถาคตตรัส แล้วว่า 'สามกุมารด้วยมัณฑัพยมาณพด้วย เกิดแล้วเพราะความลูบคลำนาภี., ถ้าอย่าง นั้นแม้คำที่ว่า 'ภิกษุทั้งหลาย ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมี ก็เพราะความที่ปัจจัยทั้งสาม ประชุมพร้อมกันโดยแท้, ดังนี้ นั้นผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน ลึกด้วยดี ละเอียดด้วยดี เป็นวิสัยของบุคคลผู้มีปัญญาเครื่องรู้ทั้งหลาย, ปัญหานั้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, พระ ผู้เป็นเจ้าจงดัดทางแห่งความสงสัย จงซูประทีปอันโพลงทั่วแล้วคือญาณอันประเสริฐ."

ถ. "ขอถวายพระพร แม้พระพุทธพจน์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงภาสิตแล้ว ว่า 'ภิกษุทั้งหลาย ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมีก็เพราะความที่ปัจจัยทั่งสามประชุมพร้อม กันแล : ในโลกนี้ มารดาและบิดาเป็นผู้ประชุมกันแล้วด้วย มารดาเป็นหญิงมีระดูด้วย คนธรรพ์เป็นสัตว์เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าด้วย, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมีเพราะความที่ ปัจจัยทั่งสามประชุมกันอย่างนั้น.' อนึ่ง พระตถาคตเจ้าได้ตรัสแล้วว่า 'สามะกุมารด้วย มัณฑัพยมาณพด้วย เกิดแล้วเพราะความลูบคลำนาภี."

ร. "ถ้าอย่างนั้น ปัญหาจะเป็นของอันพระผู้เป็นเจ้าดัดสินด้วยดีแล้ว ด้วยเหตุใด ขอพระผู้เป็นเจ้าจงยังข้าพเจ้าให้หมายรู้ด้วยเหตุอันนั้น."

ถ. "ขอถวายพระพร ก็บรมบพิตรได้เคยทรงสดับหรือว่า 'กุมารชื่อ สังกิจจะ ด้วย ดาบสชื่อ อิสิสิงคะ ด้วย พระเถระชื่อ กุมารกัสสป ด้วย เหล่านั้น เกิดแล้วด้วยเหตุชื่อนี้."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินอยู่, ความเกิดของชนเหล่านั้นเลื่องลือไปว่า แม่ เนื้อสองตัวมาสู่ที่ถ่ายปัสสาวะของดาบสสองรูปแล้ว จึงดื่มปัสสาวะกับทั่งสัมภวะใน กาลแห่งแม่เนื้อนั้นมีระดู, สังกิจจกุมารด้วย อิสิสิงคดาบสด้วย เกิดแล้วด้วยสัมภวะเจือ ด้วยปัสสาวะนั้นก่อน เมื่อพระเถระชื่อ อุทายี เข้าไปสู่ลำนักของนางภิกษุณี มีจิต กำหนัดแล้วเพ่งดูองค์กำเนิดของนางภิกษุณีอยู่ สัมภวะเคลื่อนแล้วในผ้ากาสาวะ; ครั้ง นั้นแล พระอุทายีผู้มีอายุกล่าวคำนี้กะนางภิกษุณีนั้นว่า "น้องหญิงท่านจงไปนำน้ำมา เราจักซักผ้าอันตรวาสก." นางภิกษุณีกล่าวว่า "อะไรพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันจะซักเอง."ลำดับนั้น นางภิกษุณี นั้นได้ถือเอาสัมภวะนั้นส่วนหนึ่งด้วยปาก,ให้สัมภวะส่วนหนึ่งเข้าไปในองค์กำเนิดของ ตน, พระเถระชื่อ กุมารกัสสปเกิดแล้วด้วยเหตุนั้น ชนกล่าว เหตุนั้นแล้วอย่างนี้ ด้วย ประการฉะนี้."

ถ. "ขอถวายพระพร เออก็ บรมบพิตรทรงเชื่อคำนั้นหรือไม่ ?"

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าย่อมเชื่อว่า 'ชนเหล่านั้นเกิดแล้ว ด้วยเหตุนี้' ดังนี้ ด้วยเหตุใด, ข้าพเจ้าได้เหตุมีกำลังนั้นในข้อนั้น."

ถ. "อะไรเป็นเหตุในข้อนี้เล่า ขอถวายพระพร?"

ร. "พืชตกลงแล้ว ในเทือกอันบุคคลกระทำให้มีบริกรรมดีแล้ว ย่อมงอกงามเร็ว พลันหรือไม่ พระผู้เป็นเจ้า?"

ถ. "ขอถวายพระพร พืชนั้นย่อมงอกงามเร็วพลัน."

ร. "นางภิกษุณีนั้นเป็นหญิงมีระดู ครั้นเมื่อกลละตั้งแล้ว เมื่อระดูขาดสายแล้ว เมื่อธาตุตั้งแล้ว ถือเอาลัมภวะนั้นเติมเข้าในกลละนั้นแล้ว, ครรภ์ของนางภิกษุณีนั้นตั้ง แล้วด้วยเหตุนั้น ฉันนั้นนั้นเทียวแล; ข้าพเจ้าเชื่อเหตุเพื่อความเกิดของชนเหล่านั้น ใน ข้อนั้น อย่างนี้."

ถ. "ขอถวายพระพร ข้อซึ่งบรมบพิตรตรัสนั้น สมดังตรัสแล้วอย่างนั้น อาตม ภาพรับรองอย่างนั้นว่า 'ครรภ์ย่อมเกิดพร้อมด้วยอันยังลัมภวะให้เข้าไปในปัสสาวะ มรรค., บรมบพิตรทรงรับรองความหยั่งลงสู่ครรภ์ของพระกุมารกัสสปหรือเล่า ขอถวาย พระ."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น."

ถ. "ขอถวายพระพร ดีละ บรมบพิตรทรงกลับมาสู่วิลัยของอาตมภาพแล้ว, บรม บพิตรตรัสความหยั่งลงสู่ครรภ์ลักเป็นกำลังของอาตภาพแม้โดยส่วนอันหนึ่ง; ก็อีก อย่างหนึ่ง แม่เนื้อทั้งสองนั้นดื่มปัสสาวะแล้วจึงมีครรภ์แล้ว บรมบพิตรทรงเชื่อความ หยั่งลงสู่ครรภ์ของแม่เนื้อเหล่านั้นหรือ ?"

ร. เชื่อสิ สิ่งใดสิ่งหนึ่งอันบุคคลบริโภคแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว สิ่งทั้ง ปวงนั้นย่อมประชุมลงสู่กลละ ถึงที่แล้ว ย่อมถึงความเจริญ, เหมือนแม่นื้าเหล่าใดเหล่า หนึ่ง แม่นื้าทั้งปวงเหล่านั้นย่อมประชุมลงล่มหาสมุทร, ถึงที่แล้ว ย่อมถึงความเจริญ ฉัน ๒, สิง ๒ล่งหนิงทํบุคคลบริโภคและดม เคยว ล่มแล้ว ล่งทังปวงนันย่อมประชุมลงสู่ กลละ, ถึงที่แล้ว ย่อมถึงความเจริญ ฉันนั้นนั้นแล. เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่า 'ความ หยั่งลงสู่ครรภ์ แม้ด้วยลัมภวะเข้าไปแล้วทางปาก."

ถ. "ขอถวายพระพร ดีละ บรมบพิตรยิ่งเข้าไปสู่วิลัยของอาตมภาพหนักเข้า, ลันนิบาตของชนทั้งสองย่อมมี แม้ด้วยอันดื่มด้วยปาก, บรมบพิตรทรงเชื่อความหยั่งลง สู่ครรภ์ของ ลังภิจจกุมาร และอิสิสิงคดาบส และพระเถระชื่อ กุมารกัสสป หรือ ?"

ร. "ข้าพเจ้าเชื่อ ลันนิบาตย่อมประชุมลง."

ถ. "ขอถวายพระพร แม้สามกุมาร แม้มัณฑัพยมาณพ ก็เป็นผู้หยั่งลงในภายใน ลันนิบาตทั้งสามนั้นมีรสเป็นอันเดียวกัน โดยนัยมีในก่อนทีเดียว; อาตมภาพลักกล่าว เหตุในข้อนั้นถวาย. ทุกุลดาบสและนางปาริกาตาปลี แม้ทั้งสองนั้นเป็นผู้อยู่ในปา น้อม ไปเฉพาะในวิเวก แสวงหาประโยชน์อันสูงสุด, ทำโลกเท่าถึงพรหมโลกให้เร่าร้อนด้วย เดชแห่งตปธรรม. ในกาลนั้น ท้าวลักกะผู้เป็นจอมของเทพดาทั้งหลาย ย่อมมาสู่ที่บำรุง ของทุกุลดาบสและนางปาริกาตาปลีเหล่านั้นทั้งเข้าทั้งเย็น. เป็นผู้มีเมตตามาก ได้เห็ฯ ความเสื่อมแห่งจักษุทั้งหลายของชนทั้งสองแม้เหล่านั้นในอนาคต, ครั้นเห็น จึงกล่าวกะชนทั้งสองนั้นว่า "ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงกระทำตามคำอันหนึ่งของข้าพเจ้า, ขอให้สำเร็จประโยชน์เถิด, ท่านทั้งหลายพึงยังบุตรคนหนึ่งให้เถิด, บุตรนั้นอักเป็นผู้ บำรุงและเป็นที่ยึดหน่วงของท่านทั้งหลาย."ชนทั้งหลายนั้นห้ามเสียว่า "อย่าเลยท้าวโกสีย์, ท่านอย่าได้ว่าอย่างนี้เลย" ดังนี้ ไม่รับคำของท้าวสักกะนั้น. ท้าวเธอเป็นผู้เอ็นดูผู้ใคร่ประโยชน์กล่าวอย่างนั้นกะ'ซน'ทั้ง สองนั้นอีกสองครั้งสามครั้ง.แม่ในครั้งที่สาม ชนทั้งสองนั้นกล่าวว่า "อย่าเลยท้ายโกสีย์, ท่านอย่ายังเราทั้งหลายให้ประกอบในความฉิบหายไม่เป็นประโยชน์เลย, เมื่อไรกายนี้ จักไม่สลาย กายนี้มีความสลายเป็นธรรมดา จงสลายไปเถิด, แม้เมื่อธรณีจะแตก แม้ เมื่อยอดเขาจะตก แม้เมื่ออากาศจะแยก แม้เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์จะตกลงมา เราทั้งหลายจักไม่เจือด้วยโลกธรรมทั้งหลายเลยทีเดียว, ท่านอย่ามาพบปะกับเราอีกเลย, เมื่อ ท่านมาพบปะกันเข้า ความพบปะกันนั้นก็จะเป็นความคุ้นเคย; ชะรอยท่านจะเป็นผู้ ประพฤติความฉิบหายไม่เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย." ลำดับนั้น ท้าวสักกะเมื่อไม่ได้ความนับถือแต่ชนทั้งสองนั้น ถึงความเป็นผู้ หนักใจ ประคองอัญชลีวิงวอนอีกว่า "ถ้าท่านทั้งหลายไม่อาจกระทำตามคำขอของ ข้าพเจ้าไซร้, เมื่อใด นางตาปสีมีระดู มีต่อมเลือด เมื่อนั้น ท่านพึงลูกคลำนาภีของนาง ตาปลีนั้น ด้วยนิ้วแม่มือเบื้องขวา, นางตาปลีนั้นจักได้ครรภ์ด้วยความลูบคลำนาภีนั้น, ความลูบคลำนาภีนั้นเป็นสันนิบาตของความหยั่งลงสู่ครรภ์." ชนทั้งสองนั้นรับว่า "ดูกรท้าวโกสีย์ เราอาจเพื่อจะกระทำตามคำนั้นได้, ตป ธรรมของเราทั้งหลายย่อมไม่แตกด้วยความลูบคลำนาภีเท่านั้น ช่างเถิด" ดังนี้.ก็แหละ ในเวลานั้น เทพบุตรผู้มีกุศาลมูลอันแรงกล้าสิ้นอายุแล้ว มีอยู่ในพิภพ ของเทพดา, เทพบุตรนั้นถึงความสิ้นอายุแล้ว อาจเพื่อจะหยั่งลงตามความปรารถนา, และอาจเพื่อจะหยั่งลงแม่ในตระกูลของพระเจ้าจักรพรรดิ. ครั้งนั้น ท้าวสักกะไปหาเทพบุตรนั้นวิงวอนว่า "แน่ะท่านผู้นิรทุกข์ท่านมาเถิด, วันของท่านสว่างชัดแล้ว, ความสำเร็จประโยชน์มาถึงแล้ว เรามาสู่ที่บำรุงของท่าน เพื่อ ประโยชน์อะไรเล่า, การอยู่ในโอกาสน่ารนรมย์จักมีแก่ท่าน, ปฏิสนธิในตระกูลสมควร จักมีแก่ท่าน ท่านจักเป็นผู้อันมารดาและบิดาทั้งหลายที่ดี พึง'ให้เจ'ริญ, ท่านจงมา ท่าน จงกระทำตามคำของเรา." ท้าวสักกะวิงวอนแล้ว ดังนี้ ประคองอัญชลีเหนือเดียร วิงวอนถึงสองครั้งสามครั้งแล้ว.ลำดับนั้น เทพบุตรนั้นตอบว่า "แน่ะท่านผู้นิรทุกข์ท่านสรรเสริญความไปสู่ ตระกูลใดบ่อย ๆ ตระกูลนั้นคือตระกูลไหน."ท้ายสักกะกล่าวว่า "ตระกูลนั้น คือ ทุกุลดาบสและนางปารกาตาปลี."เทพบุตรนั้น ฟังคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว ยินดีรับว่า "แน่ะท่านผู้นิรทุกข์ ความ พอใจใดของท่าน ความพอใจนั้นจงสำเร็จประโยชน์เถิด; เราพึงจำนงเถิดในตระกูลที่ ท่านปรารถนาแล้ว, เราจะเถิดในตระกูลไหน คือเป็นอัณฑชะเถิดในฟองฝักหรือ หรือ เป็นชลาพุชะเถิดในครรภ์มารดา หรือเป็นลังเสทชะเถิดในเถ้าไคล หรือเป็นโอปปาติกะ เถิดผลุดขึ้นเล่า." ท้าวสักกะกล่าวว่า "แน่ะท่านผู้นิรทุกข์ท่านจงเถิดในกำเนิดเป็นชลาพุชะ."ลำดับนั้น ท้าวสักกะกำหนดวันเถิดแล้ว จึงบอกแก่ ทุกลดาบสว่า "นางตาป ลีจักมีระดู มีต่อมเลือด ในวันชื่อโน้น, ท่านผู้เจรืญ ท่านพึงลูบคลำนาภีของนางตาปลื ด้วยนั้นแม่มือเบื้องขวา ในกาลนั้น." นางตาปลีเป็นหญิงมีระดู มีต่อมเลือดด้วย เทพบุตรผู้จะเข้าไปในที่นั้น ได้ไปปรากฏเฉพาะหน้าแล้วด้วย ดาบสลูบคลำนาภีของ นางตาปลืด้วยนิ้วแม่มือ เบื้องขวาด้วย ในวันนั้น ประชุมนั้นได้เป็นสันนิบาตสามอย่าง ด้วยประการฉะนี้. ความกำหนัดของนางตาปลีเถิดขึ้นแล้วด้วยความลูบคลำนาภี; ก็แล ความกำหนัดของนางตาปลีนั้นอาศัยความลูบคลำนาภีเถิดขึ้นแล้ว, บรมบพิตรอย่า ลำดัญว่าอัธยาจารอย่างเดียวเป็นสันนิบาต, แม้ความเข้าไปเพ่งก็ชื่อว่าสันนิบาต, สันนิบาตความประชุมพร้อมย่อมเถิดด้วยความจับต้อง เพื่อความเถิดราคะโดยความ เป็นบุรพภาค, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ย่อมมีเพราะสันนิบาต, เพราะฉะนั้น ความหยั่งลงสู่ ครรภ์ย่อมมีแม่ในที่ไม่มีอัธยาจาร ด้วยการลูบคลำ เหมือนไฟที่โพลงอยู่ ถึงใคร ๆ จะไม่ ลูบคลำ ก็กำจัดความหนาวของบุคคลผู้เข้าไปใกล้แล้วได้ฉันใด, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ ย่อมมีในที่แม่ไม่มีอัธยาจาร เพราะความลูบคลำ ฉันนั้นโดยแท้. ขอถวายพระพร ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยอำนาจแห่ง เหตุสี่ประการ คือ กรรมหนึ่ง กำเนิดหนึ่ง ตระกูลหนึ่ง ความอ้อนวอนหนึ่ง; เออก็สัตว์ ทั้งหลายแม้ทั้งปวง ล้วนมีกรรมเป็นแดนเถิด มีกรรมเป็นสมุฦฐานด้วยกันทั้งสิ้น. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยอำนาจแห่งกรรมอย่างไร? สัตว์ทั้งหลายที่มีกุศลมูลแก่กล้า ย่อมเถิดได้ตามความปรารถนา, ปรารถนาจะเถิดใน ตระกูลกษัต่ริยมหาศาล หรือในตระกูลพราหมณมหาศาล คกูหบดีมหาศาลก็ดี หรือใน เทพดาทั้งหลายปรารถนาจะเถิดในกำเนิดเป็นอัณฑชะ ชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ ละอย่าง ๆ ก็ดี ย่อมเถิดได้ตามความปรารถนา. เหมือนบุรุษมั่งคั่ง มีทรัพย่โภคะเงินและ ทองมาก มีวัตถเครองทำความอุดหนุนแก่ทรัพย์เครองปลื้มมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือก มาก มีฝ่ายญาติมาก จะให้ทรัพย์สองเท่าแม้สามเท่า ช่วยทาสีและทาส หรือซื้อนาและ สวน หรือบ้านนิคมชนบท ละอย่าง ๆ ก็ดี สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนปรารถนายิ่งแล้วด้วยใจ ได้ ตามปรารถนา ฉันใด, สัตว์ทั้งหลายที่มีกุศลมูลแรงกล้าปรารถนาจะเกิดในตระกูล กษัต่ริยมหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาลก็ดี หรือปรารถนาจะเกิดในเทพ ดาทั้งหลาย หรือปรารถนาจะเกิดในกำเนิดเป็นอัณฑชะ ชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ ละอย่าง ๆ ก็ดี ย่อมเกิดได้ตามความปรารถนา ฉันนั้น. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ ของสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกรรมอย่างนี้. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกำเนิด อย่างไร? ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของไก่ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยลม, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของ นกยางทั้งหลาย ย่อมมีด้วยเสียงเมฆ, เทพดาทั้งหลายแม้ทั้งปวง ไม่ใช่สัตว์นอนใน ครรภ์นั้นเทียว, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของเทพดาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นไปโดยเพศ ต่าง ๆ ดังมนุษย์ทั้งหลายเที่ยวไปในแผ่นดินโดยเพศต่าง ๆ, มนุษย์ทั้งหลายพวกหนึ่งปิด ข้างหน้า พวกหนึ่งปิดข้างหลัง พวกหนึ่งเปลือยกาย พวกหนึ่งศีรษะโล้น พวกหนึ่งนุ่งผ้า ขาว พวกหนึ่งเกล้าผมมวย พวกหนึ่งศีรษะ โล้นนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด พวกหนึ่งนุ่งผ้าย้อม น้ำฝาดเกล้าผมมวย พวกหนึ่งมีชฎาทรงกาบไม้กรอง พวกหนึ่งนุ่งหนัง พวกหนึ่งนุ่ง เชือก, มนุษย์ทั้งหลายแม้ทั้งปวง เที่ยวอยู่ในแผ่นดินโดยเพศต่าง ๆ ฉันใด; เทพดา เหล่านั้นเป็นสัตว์เหมือนกัน, ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของเทพดาเหล่านั้น ย่อมเป็นไปโดย เพศต่าง ๆ ฉันนั้น. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปโดยอำนาจแห่ง กำเนิด ด้วยประการฉะนี้. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งตระกูล อย่างไร? ชื่อตระกูลมีสี่ตระกูล คือ เป็น อัณฑชะ ชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ; ใน ตระกูลทั้งสี่นั้น ถ้าคนธรรพ์มาแต่ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เกิดในตระกูลเป็นอัณฑชะ คนธรรพ์นั้นเป็นสัตว์เกิดในฟองในตระกูลนั้น, ถ้าเกิดในตระกูลเป็นชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะคนธรรพ์เป็น ชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ ละอย่าง ๆ ในตระกูลนั้น ๆ. สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดเป็นสัตว์เช่นนั้นอย่างเดียวกันในตระกูลนั้นๆ. อนึ่ง เนื้อและนก ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เข้าไปถึงภูเขาสิเนรุในปาหิมพานต์เนื้อและนกทั้งปวง เหล่านั้น ย่อมละพรรณของตนเป็นสัตว์มีพรรณต่างๆ ดังพรรณแห่งทอง ฉันใด, คนธรรพ์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมาแล้วแต่ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เข้าไปถึงกำเนิดเป็นอัณฑชะ แล้วละเพศโดยสภาวะเสีย เป็นสัตว์เกิดในฟอง เข้าไปถึงกำเนิดเป็นชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ แล้วละเพศโดยสภาวะเสีย เป็นชลาพุชะ ลังเสทชะ โอปปาติกะ ละอย่าง ๆ ฉันนั้น. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปโดยอำนาจแห่งตระกูลด้วย ประการ ฉะนี้. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งความอ้อน วอนอย่างไร? ในโลกนี้ตระกูลไม่มีบุตร มีทรัพย์สมบัติมาก มีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว มีศีลมี ธรรมอันงาม อาศัยตปคุณ, ก็เทพบุตรมีกุศลมูลแรงกล้า มีความจุติเป็นธรรมดา, ครั้ง นั้น ท้าวสักกะอ้อนวอนเทพบุตรนั้น เพื่อความเอ็นดูแก่ตระกูลนั้นว่า "ท่านจงปรารถนา พระครรภ์ของพระมเหสีแห่งตระกูลโน้น," เทพบุตรนั้นปรารถนาตระกูลนั้น เหตุความ อ้อนวอนของท้าวสักกะนั้น. อุปมาเหมือนมนุษย์ทั้งหลายใคร่บุญ อ้อนวอนพระสมณะ ยังใจให้เจริญ แล้วนำเข้าไปสู่เรือน ด้วยคิดว่า "พระสมณะนี้เข้าไปสู่เรือนแล้ว จักเป็น ผู้นำความสุขมาแก่ตระกูลทั้งปวง" ฉันใด, ท้าวสักกะอ้อนวอนเทพบุตรนั้นแล้ว นำเข้า ไปสู่ตระกูลนั้น ฉันนั้นนั้นเทียวแล. ความหยั่งลงสู่ครรภ์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไป ด้วยอำนาจแห่งความอ้อนวอน ด้วยประการฉะนี้. ขอถวายพระพร สามกุมาร ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพดาทั้งหลาย อ้อนวอน แล้ว หยั่งลงสู่ครรภ์ของนางตาปสีชื่อ ปา'ริกา แล้ว. สามกุมารได้ก่อสร้างบุญไว้แล้ว, มารดาและบิดาทั้งหลายเป็นคนมีศีลมีธรรมอันงาม, ผู้อ้อนวอนเป็นคนสามารถแล้ว, สามกุมารเกิดแล้วตามความปรารถนาแห่งใจของชนทั้งหลายสาม, เหมือนในโลกนี้ มี บุรุษผู้ฉลาดในอุบายเครองนำไป ปลูกพืชลงไว้ในไร่นาใกล้ที่ไถดีแล้ว, นั้นเว้นอันตราย อันตรายอะไรจะพึงมีแก่ความเจริญของพืช เมื่อพืชนั้นบ้างหรือ? ขอถวายพระพร."

ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า พืชไม่มีอันตรายเข้าไปกระทบกีดนั้นพึงงอกงามเร็ว พลันพระผู้เป็นเจ้า."

ถ. "ขอถวายพระพร สามกุมารพ้นแล้วจากอันตรายเกิดขึ้นแล้วทั้งหลาย เกิด แล้วตามความปรารถนาแห่งจิตของชนทั้งสาม ฉันนั้นนั้นเทียวแล. ขอถวายพระพร บรมบพิตรเคยได้ทรงฟังแล้วบ้างหรือ ชนบทใหญ่เจริญ แพร่หลายแล้ว กับทั้งประชุมชน ขาดสูญแล้ว ด้วยความประทุษร้ายแห่งใจแห่งกุษี ทั้งหลาย."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟังอยู่ ปาชื่อทัณฑกะ ปาชื่อเมชฌะ ป่าชื่อกาลิง คะ ป่าชื่อมาตังคะ ปาทั้งปวงนั้นเป็นปาแล้ว, ชนบททั้งหลายแม้ทั้งปวงเหล่านี้ ถึงความ สิ้นไปด้วยความประทุษร้ายแห่งใจของกุษีทั้งหลาย"

ถ. ขอถวายพระพร ถ้าชนบททั้งหลายที่เจริญแล้วด้วยดี มาขาดสูญไปด้วย ความประทุษร้ายแห่งใจกุษีทั้งหลายเหล่านั้น, อะไร ๆ พึงเกิดขึ้นโดยความเลื่อมใสแห่ง จิตของกุษีทั้งหลายเหล่านั้นบ้างหรือไม่."

ร. "พึงเกิดขึ้นได้ซิ พระผู้เป็นเจ้า."

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น สามกุมาร เป็นอิสินิรมิตเป็นเทพนิมิต เป็นบุญ นิรมิต เกิดแล้วโดยความเลื่อมใสแห่งจิตของซนผู้มีกำลังทั้งหลายสาม, เพราะเหตุนั้น บรมบพิตรจงทรงความข้อนี้ไว้ด้วยประการฉะนี้. ขอถวายพระพร เทพบุตรทั้งหลายสามเหล่านี้ เข้าถึงแล้วซึ่งตระกูลที่ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมของเทพดาทั้งหลายได้อ้อนวอนแล้ว, เทพบุตรทั้งสาม คือ เทพบุตรองคืใรบ้าง เทพบุตรทั้งสามคือ สามกุมารหนึ่ง มหาปนาทะ หนึ่ง กุลราชา หนึ่ง เทพบุตรแม้ทั้งสาม เหล่านี้เป็นพระโพธิสัตว์."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ความหยั่งลงสู่ครรภ์พระผู้เป็นเจ้านำมาแสดงด้วยดีแล้'ว,เหตุพระผู้เป็นเจ้ากล่าวด้วยดีแล้ว, มืดทำให้มีแสงสว่างแล้วล ชัฏพระผู้เป็นเจ้าสางแล้ว, ปรับปวาทพระผู้เป็นเจ้าห้ามกันเสียได้แล้ว, เหตุนั้นสมดังพระผู้เป็นเจ้ากล่าวอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

อ่านต่อ