นมัสการ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ สัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น

อารัมภคาถา

พระเจ้าแผ่นดินในสาคลราชธานี อันทรงพระนามว่ามิลินท์ ได้เสด็จไปหาพระนาคเสน, เหมือนน้ำในคงคาไหลไปสู่มหาสมุทร ฉะนั้น. ครั้นพระองค์เสด็จถึงแล้วได้ตรัสถามปัญหาอันละเอียด ในเหตุที่ควรและไม่ควรเป็นอันมาก กะพระนาคเสน ซึ่งเป็นผู้กล่าวแก้ไพเราะ มีปัญญาสามารถที่จะบรรเทาความหลง ดุจส่องคบเพลิงบรรเทามืดเสียฉะนั้น ทั้งคำปุจฉาและวิสัชนาล้วนอาศัยอรรถอันลึกซึ้ง น่าเป็นที่พึงใจและให้เกิดสุขแก่โสตประสาท เป็นอัศจรรย์ให้ชูชันโลมชาติของผู้สดับ. ถ้อยคำของพระนาคเสนเถรเจ้าไพเราะโดยอุปมาและนัย หยั่งลงในพระอภิธรรมและพระวินัย ประกอบด้วยพระสูตร. ขอท่านทั้งหลายจงส่งญาณไปทำอัธยาศัยให้ร่าเริงยินดี ในกถามรรคนั้นแล้ว, จงสดับปัญหาซึ่งเป็นเครื่องทำลายเหตุที่ตั้งแห่งความสงสัย อย่างละเอียดนี้เทอญ.

พาหิรกถา

คำที่ได้กล่าวนั้นเป็นฉันใด? ดังได้สดับสืบ ๆ กันมาว่า ยังมีราชธานีหนึ่งชื่อว่าสาคลนคร เป็นที่ประชุมแห่งการค้าขาย, เป็นที่เปิดห่อหีบสินค้าต่าง ๆ ออกจำหน่ายของชนชาวโยนก, เป็นภูมิประเทศที่น่าสนุกยินดี, มีแม่นํ้า และภูเขาประดับให้งดงาม, สมบูรณ์ด้วยสวนไม้มีผล ไม้มีดอก, ป่าละเมาะ คลองน้ำและสระโบกขรณี, เป็นที่น่าสนุกด้วยแม่น้ำ ภูเขาและป่าไม้ อันพระเจ้าสุตวันต์บรมราชทรงสร้างไว้เป็นที่ป้องกันหมู่ปัจจามิตรไม่ให้เข้าไปเบียดเบียนได้; มีป้อมปราการมั่นวิจิตรอย่างต่าง ๆ, มีหอรบและประตูอันมั่นคง, มีคูลึก, มีกำแพงโบกปูนขาวล้อมรอบพระราชวัง, มีถนนหลวงและสนาม, ทางสี่แยก สามแยก, จำแนกปันเป็นระยะพอเหมาะดี; มีตลาดเต็มด้วยสิ่งของเครื่องใช้อย่างดีหลายอย่างต่าง ๆ ที่ตั้งขาย, มีโรงทานต่าง ๆ อย่างหลายร้อยหลังประดับให้งดงาม; อร่ามด้วยยอดเรือนหลายแสนหลังดังยอดแห่งเขาหิมาลัยประดับแล้ว, เกลื่อนกล่นด้วยพลช้างม้ารถและทหารเดินเท้า, มีหมู่ชายหญิงที่มีรูปงามเที่ยวเดินสลอน, เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน, มีชนที่เป็นชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ ชาติแพศย์ ชาติศูทร เป็นอันมากหลายชนิด, มีหมู่สมณพราหมณ์ต่าง ๆ เพศต่าง ๆ วงศ์เบียดเสียดกัน, เป็นที่อันคนมีวิชชาความรู้และผู้กล้าหาญ อยู่อาศัยแล้วเป็นอันมาก; สมบูรณ์ด้วยร้านขายผ้าอย่างต่าง ๆ : มีผ้าที่ทอในเมืองกาสีและผ้าที่ทอในเมืองกุฏุมพรเป็นต้น, หอมตลบด้วยกลิ่นหอม ที่ฟุ้งไปจากร้านขายดอกไม้หอมและเครื่องหอมหลายอย่างที่งดงาม และออกเป็นระยะอันดี; บริบูรณ์ด้วยรัตนะที่คนปรารถนาเป็นอันมาก, มีหมู่พ่อค้าที่มั่งคั่งซึ่งตั้งห้างขายของในประเทศใหญ่ในทิศนั้น ๆ เที่ยวอยู่สลอน, บริบูรณ์ด้วยกหาปณะเงินทองโลหะและเพชรพลอย, เป็นที่อยู่แห่งแร่ซึ่งเป็นขุมทรัพย์อันสุกใส มีธัญญาหารและเครื่องมือสำหรับที่เป็นอุปการให้เกิดทรัพย์สมบัติ เป็นอันมาก, มีคลังและฉางเต็มบริบูรณ์, มีข้าวน้ำ และขัชชะโภชชาหารของควรดื่มของควรจิบควรลิ้มมากอย่าง, สมบูรณ์ด้วยธัญญาหารดุจกุรุทวีป, (ประกอบด้วยสมบัติเห็นปานนี้) เหมือนเมืองสวรรค์ อันมีนามว่า อาฬกมันทาเทพนคร.

ควรหยุดไว้เพียงเท่านี้ แล้วกล่าวบุรพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนก่อน, ก็เมื่อกล่าวควรแบ่งกล่าวเป็นหกภาค: คือ บุรพกรรมหนึ่ง, มิลินทปัญหาหนึ่ง, ลักขณปัญหาหนึ่ง, เมณฑกปัญหาหนึ่ง, อนุมานปัญหาหนึ่ง, โอปัมมกถาปัญหาหนึ่ง.

ในปัญหาเหล่านั้น: มิลินทปัญหามีสองอย่าง: คือ ลักขณปัญหาหนึ่ง, วิมติจเฉทนปัญหาหนึ่ง แม้ เมณฑกปัญหาก็มีสองอย่าง: คือ มหาวรรคหนึ่ง, โยคิกถาปัญหาหนึ่ง

บุรพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนนั้น ดังนี้: ดังได้สดับมา ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระศาสนาแห่งพระกัสสปผู้มีพระภาคเจ้ายังเป็นไปอยู่, ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ได้อาศัยอยู่ในอาวาสใกล้แม่น้ำคงคาแห่งหนึ่ง. ในภิกษุสงฆ์หมู่นั้น ภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยวัตรและศีลลุกขึ้นแต่เช้าแล้ว, ถือไม้กราดไปกวาดลานอาวาสพลาง ระลึกถึงพุทธคุณพลาง กวาดหยากเยื่อรวมไว้เป็นกองแล้ว; ภิกษุรูปหนึ่งใช้สามเณรรูปหนึ่งว่า ''ท่านจงมานำหยากเยื่อนี้ไปทิ้งเสีย.''

สามเณรรูปนั้นแกล้งทำไม่ได้ยินเดินเฉยไปเสีย, แม้ภิกษุนั้นร้องเรียกถึงสองครั้งสามครั้ง ก็แกล้งทำไม่ได้ยินเดินเฉยไปเสีย เหมือนอย่างนั้น. ภิกษุนั้นขัดใจว่า''สามเณรผู้นี้ว่ายาก.''จึงเอาคันกราดตีสามเณรนั้น. สามเณรนั้นมีความกลัว, ร้องไห้พลางขนหยากเยื่อไปทิ้งพลาง, ได้ตั้งความปรารถนาเป็นประถมว่า ''ด้วยบุญกรรมที่เราได้กระทำเพราะทิ้งหยากเยื่อนี้ ขอเรามีศักดาเดชานุภาพใหญ่ เหมือนดวงอาทิตย์ในเวลาตะวันเที่ยง ในสถานที่เราเกิดแล้วๆ กว่าจะบรรลุพระนิพพานเถิด.''ครั้นทิ้งหยากเยื่อเสร็จแล้ว ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ, เห็นกระแสคลื่นในแม่น้ำคงคาไหลเชี่ยวเสียงดังดุจสูบ, จึงตั้งความปรารถนาเป็นครั้งที่สองว่า ''ขอเรามีปัญญาว่องไวไม่สิ้นสุดดุจกระแสคลื่นแห่ง แม่น้ำคงคานี้ในสถานที่เราเถิดแล้วๆ กว่าจะบรรลุพระนิพพานเถิด.''

ฝ่ายพระภิกษุนั้น เก็บกราดไว้ในศาลาสำหรับเก็บกราดแล้ว, เมื่อไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ, ได้ฟังความปรารถนาของสามเณรแล้ว, คิดว่า ''สามเณรนั่น เราใช้แล้วยังปรารถนาถึงเพียงนี้ก่อน, ถ้าเราตั้งความปรารถนาบ้าง เหตุไฉนความปรารถนานั้นจักไม่สำเร็จแก่เรา;''จึงตั้งความปรารถนาบ้างว่า''ขอเรามีปัญญาไม่สิ้นสุดดุจกระแสคลื่นแห่งแม่น้ำคงคานี้, ขอเราสามารถจะแก้ไข ปัญหาที่สามเณรผู้นี้ถามแล้ว ๆ ทุกอย่าง, ในสถานที่เราเกิดแล้ว ๆ กว่าจะบรรลุถึงพระนิพพานเถิด.''

ภิกษุและสามเณรสองรูปนั้น ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์สิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระญาณ, เหมือนได้ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ, ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า ''เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ห้าร้อยปี ภิกษุสามเณรสองรูปนั้นจักเกิดขึ้นแล้ว, จักจำแนกธรรมวินัยที่เราได้แสดงให้สุขุมละเอียดแล้ว, กระทำให้เป็นศาสนธรรมอันตนสะสางไม่ให้ฟั่นเฝือแล้ว ด้วยอำนาจถามปัญหาและประกอบอุปมา.''

ในภิกษุสามเณรสองรูปนั้น สามเณรได้มาเกิดเป็นพระเจ้ามิลินท์ในสาคลราชธานี ในชมพูทวีป, เป็นปราชญ์เฉียบแหลม มีพระปัญญาสามารถ, ทราบเหตุผลทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งที่เป็นอยู่ในบัดนั้น; ในกาลเป็นที่จะทรงทำราชกิจน้อยใหญ่ ได้ทรงใคร่ครวญโดยรอบคอบ, แล้วจึงได้ทรงประกอบราชกิจ ที่จะต้องประกอบ จะต้องจัด จะต้องกระทำ;

และได้ทรงศึกษาตำหรับวิทยาเป็นอันมาก ถึง ๑๙ อย่าง: คือ

- ไตรเพทคัมภีร์พราหมณ์
- วิทยาในกายตัว
- วิทยานับ
- วิทยาทำใจให้เป็นสมาธิ
- พระราชกำหนดกฎหมาย
- วิทยาที่รู้ธรรมดาที่แปลกกันแห่งสภาพนั้นๆ
- วิทยาทำนายร้ายและดี
- วิทยาดนตรีขับร้อง
- วิทยาแพทย์
- วิทยาศาสนา
- ตำหรับพงศาวดาร
- โหราศาสตร์
- วิทยาทำเล่ห์กล
- วิทยารู้จักกำหนดเหตุผล
- วิทยาคิด
- ตำรับพิชัยสงคราม
- ตำรากาพย์
- วิทยาทายลักษณะในกาย
- และภาษาต่างๆ,

พอพระหฤทัยในการตรัสไล่เลียงในลัทธิต่าง ๆ ใคร ๆ จะโต้เถียงได้โดยยาก ใครๆจะข่มให้แพ้ได้โดยยาก ปรากฏเป็นยอดของเหล่าเดียรถีย์เป็นอันมาก. ในชมพูทวีปไม่มีใครเสมอด้วยพระเจ้ามิลินท์ ด้วยเรี่ยวแรงกาย ด้วยกำลังความคิด ด้วยความกล้าหาญ ด้วยปัญญา. พระเจ้ามิลินท์นั้น ทรงมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยราชสมบูรณ์, มีพระราชทรัพย์และเครื่องราชูปโภคเป็นอันมากพ้นที่จะนับคณนา, มีพลพาหนะหาที่สุดมิได้.

วันหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์เสด็จพระราชดำเนินออกนอกพระนครด้วยพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรขบวนจตุรงคินีเสนา อันมีพลพาหนะหาที่สุดมิได้ ในสนามที่ฝึกซ้อม, โปรดเกล้าฯ ให้จัดการฝึกซ้อมหมู่เสนาที่ภายนอกพระนครเสร็จแล้ว, พระองค์พอพระหฤทัยในการตรัสสั่งสนทนาด้วยลัทธินั้น ๆ, ทรงนิยมในถ้อยคำของมหาชนที่เจรจากัน ซึ่งอ้างคัมภีร์โลกายตศาสตร์และวิตัณฑศาสตร์, ทอดพระเนตรดวงอาทิตย์แล้ว, ตรัสแก่หมู่อมาตย์ว่า ''วันยังเหลืออยู่มาก, เดี๋ยวนี้ ถ้าเรากลับเข้าเมืองจะไปทำอะไร; มีใครที่เป็นบัณฑิตจะเป็นสมณะก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ แม้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ผู้รู้ชอบเอง ที่อาจสั่งสนทนากับเราบรรเทาความสงสัยเสียได้บ้างหรือ?''เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว, โยนกอมาตย์ห้าร้อยได้กราบทูลว่า ''ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหาราชเจ้า, มีศาสดาอยู่หกท่าน: คือ
ปูรณกัสสป,
มักขลิโคศาล,
นิครนกนาฏบุตร,
สัญชัยเวลัฏฐบุตร,
อชิตเกสกัมพล,
ปกุธกัจจายนะ,
ได้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ เป็นคนมีชื่อเสียงปรากฏ มีเกียรติยศว่าเป็นดิตถกร คือ ผู้สอนลัทธิแก่ประชุมชน; คนเป็นอันมากนับถือว่ามีลัทธิอันดี. ขอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปสู่สำนักของท่านทั้งหกนั้นแล้วตรัสถามปัญหาบรรเทากังขาเสียเถิด''

ครั้นพระองค์ได้ทรงสดับอย่างนี้แล้ว จึงพร้อมด้วยโยนกอมาตย์ห้าร้อย ห้อมล้อมเป็นราชบริวาร ทรงรถพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักปูรณกัสสป, ทรงปฏิสันถารปราศรัยกับปูรณกัสสปพอให้เกิดความยินดีแล้ว, ประทับ ณ สถานที่ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ตรัสถามว่า ''ท่านกัสสป, อะไรรักษาโลกอยู่ ?''

ปูรณกัสสปทูลตอบว่า ''แผ่นดินแล, มหาราชเจ้า, รักษาโลกอยู่.''พระเจ้ามิลินท์จึงทรงย้อนถามว่า ''ถ้าแผ่นดินรักษาโลกอยู่, เหตุไฉน สัตว์ที่ไปสู่อเวจีนรกจึงล่วงแผ่นดินไปเล่า ?'' เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว; ปูรณกัสสปไม่อาจฝืนคำนั่นและไม่อาจคืนคำนั่น, นั่งก้มหน้านิ่งหงอยเหงาอยู่.

ลำดับนั้น จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักมักขลิโคศาลแล้ว, ตรัสถามว่า ''ท่านโคศาล, กุศลกรรมและอกุศลกรรมมีหรือ, ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีแล้วและทำชั่วแล้วมีหรือ?''

มักขลิโคศาลทูลตอบว่า ''ไม่มี, มหาราชเจ้า. ชนเหล่าใดเคยเป็นกษัตริย์อยู่ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นกษัตริย์อีกเทียว; ชนเหล่าใดเคยเป็นพราหมณ์, เป็นแพศย์, เป็นศูทร, เป็นจัณฑาล, เป็นปุกกุสะ, อยู่ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก: จะต้องการอะไรด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม.''

พระเจ้ามิลินท์ทรงย้อนถามว่า ''ถ้าใครเคยเป็นอะไรในโลกนี้ แม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก, ไม่มีกิจที่จะต้องทำด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม; ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่าใดเป็นคนมีมือขาดก็ดี มีเท้าขาดก็ดี มีหูและจมูกขาดก็ดี ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปปรโลกแล้วก็จักต้องเป็นเหมือนเช่นนั้นอีกนะซิ ?'' เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว มักขลิโคศาลก็นิ่งอั้น.

ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงพระราชดำริว่า ''ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียวหนอ, ไม่มีสมณะพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้'' คืนวันหนึ่ง ตรัสถามอมาตย์ทั้งหลายว่า ''คืนวันนี้เดือนหงายน่าสบายนัก, เราจะไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ไรดีหนอ เพื่อจะได้ถามปัญหา? ใครหนอสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้?'' เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้วอมาตย์ทั้งหลายได้ยืนนิ่งแลดูพระพักตร์อยู่. สมัยนั้น สาคลราชธานีได้ว่างเปล่าจากสมณะพราหมณ์ และคฤหบดีที่เป็นปราชญ์ถึงสิบสองปี เพราะพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับว่าในที่ใดมีสมณะพราหมณ์หรือคฤบดีที่เป็นปราชญ์, ก็เสด็จพระราชดำเนินไป, ตรัสถามปัญหากับหมู่ปราชญ์ในที่นั้น; หมู่ปราชญ์ทั้งปวงนั้นไม่สามารถจะวิสัชนาปัญหาถวายให้ทรงยินดีได้, ต่างคนก็หลีกหนีไปในที่ใดที่หนึ่ง, ผู้ที่ไม่หลีกไปสู่ทิศอื่นต่างคนก็อยู่นิ่ง ๆ. ส่วนภิกษุทั้งหลายไปสู่ประเทศหิมพานต์เสียโดยมาก.

สมัยนั้น พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ (?) อาศัยอยู่ที่พื้นถ้ำรักขิตคูหา ณ เขาหิมพานต์. ในกาลนั้น พระอัสสคุตตเถรเจ้าได้สดับพระวาจาแห่งพระเจ้ามิลินท์ด้วยทิพยโสต (คือ หูที่ได้ยินเสียงไกลได้ดุจหูเทวดา) แล้ว, จึงนัดให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน ณ ยอดเขายุคันธรแล้ว, ถามภิกษุทั้งหลายว่า ''อาวุโส, มีภิกษุองค์ใดสามารถจะสั่งสนทนากับพระเจ้ามิลินท์ นำความสงสัยของเธอออกเสียได้บ้างหรือไม่ ?''เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวถามอย่างนี้แล้ว พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏินั้นก็พากันนิ่งอยู่. พระเถรเจ้าถามอย่างนั้นถึงสองครั้ง สามครั้ง ต่างองค์ก็นิ่งเสียเหมือนอย่างนั้น.

พระเถรเจ้าจึงกล่าวว่า ''อาวุโส, ในดาวดึงสพิภพพิมานชื่อเกตุมดีมีอยู่ข้างปราจีนทิศ (ตะวันออก) แห่งไพชยันตปราสาท, เทพบุตรชื่อมหาเสนได้อาศัยอยู่ในทิพยพิมานนั้น, เธอสามารถจะสั่งสนทนากับพระเจ้ามิลินนท์นำความสงสัยของเธอเสียได้.''

ลำดับนั้น พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏินั้น จึงหายพระองค์จากเขายุคันธร ไปปรากฏขึ้นในดาวดึงสพิภพ.

ท้าวศักรินทรเทวราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุทั้งหลายนั้นมาอยู่แต่ไกล, จึงเสด็จเข้าไปใกล้, ทรงถวายอภิวาทพระอัสสคุตตเถรเจ้าแล้ว, ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นการแสดงความเคารพแล้ว, ตรัสถามว่า ''พระภิกษุสงฆ์พากันมาถึงที่นี่เป็นหมู่ใหญ่. ข้าพเจ้าได้ถวายตัวเป็นอารามิกบุรุษ (คนกระทำกิจธุระในพระอาราม) ของพระภิกษุสงฆ์ไว้แล้ว. ท่านจะประสงค์ ให้ข้าพเจ้ากระทำกิจอะไรหรือ?''

พระเถรเจ้า จึงถวายพระพรว่า ''ดูก่อนมหาราช, ในชมพูทวีปมีพระเจ้าแผ่นดินในสาคลราชธานีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้ามิลินท์, เป็นคนช่างตรัสซักถามด้วยข้อความในลัทธินั้น ๆ, อันใคร ๆ จะโต้ตอบครอบงำให้ชำนะได้โดยยาก; เขากล่าวยกว่าเป็นยอดของเดียรถีย์เจ้าลัทธิเป็นอันมาก. เธอเสด็จเข้าไปหาภิกษุสงฆ์แล้ว, ตรัสถามปัญหาด้วยวาทะปรารภทิฏฐินั้น ๆ, เบียดเบียนภิกษุสงฆ์ให้ลำบาก.''

ท้าวศักรินทรเทวราช ตรัสบอกพระเถรเจ้าว่า ''ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระเจ้ามิลินท์นั้นจุติไปเกิดในมนุษยโลกจากที่นี้เอง. เทพบุตรชื่อมหาเสน ซึ่งอยู่ในพิมานชื่อเกตุมดีนั่นแน่ สามารถจะสั่งสนทนากับพระเจ้ามิสินท์นั้น นำความสงลัยของเธอเสียได้. เราจงมาพากันไปอ้อนวอนขอให้เธอไปเกิดในมนุษยโลกเถิด.''ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว, เสด็จตามพระภิกษุสงฆ์ไปถึงเกตุมดีพิมานแล้ว, ทรงสวมกอดมหาเสนเทพบุตรแล้ว, ตรัสว่า ''แน่ะเจ้าผู้นิรทุกข์, พระภิกษุสงฆ์ท่านอ้อนวอนขอให้เจ้าลงไปเถิดในมนุษยโลก.''

มหาเสนเทพบุตร ทูลว่า ''ข้าพระองค์ไม่พอใจมนุษยโลกที่มีการงานมากนัก, มนุษยโลกนั้นเข้มงวดนัก. ข้าพระองค์จะเกิดสืบ ๆ ไปในเทวโลกนี้เท่านั้น กว่าจะปรินิพพาน.''

ท้าวศักรินทรเทวราชตรัสอ้อนวอนถึงสองครั้ง สามครั้ง; เธอก็มิได้ทูลรับเหมือนดังนั้น.

พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงกล่าวกะมหาเสนเทพบุตรว่า ''ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์, เราทั้งหลายได้เลือกตรวจดูตลอดทั่วมนุษยโลก ทั้งเทวโลก; นอกจากท่านแล้วไม่เห็นใครอื่น ที่สามารถจะทำลายล้างทิฏฐิของพระเจ้ามิลินท์ แล้วยกย่องพระศาสนาไว้ได้. ภิกษุสงฆ์จึงได้อ้อนวอนท่าน. ขอท่านผู้สัตบุรุษ จงยอมไปเกิดในมนุษยโลกแล้ว, ยกย่องพระศาสนาของพระทศพลเจ้าไว้เถิด.''เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวอ้อนวอนอย่างนี้แล้ว; มหาเสนเทพบุตรทราบว่าเธอผู้เดียวเท่านั้น จักสามารถทำลายล้างทิฎฐิของพระเจ้ามิลินท์แล้ว, ยกย่องพระศาสนาไว้ได้; จึงมีใจยินดีชื่นบาน, ได้ถวายปฏิญาณรับว่าจะลงไปเกิดในมนุษยโลก.

ครั้นภิกษุทั้งหลายนั้น จัดกิจที่จะต้องทำนั้นในเทวโลกเสร็จแล้ว, จึงอันตรธานจากดาวดึงสพิภพ มาปรากฏ ณ พื้นถ้ำรักขิตคูหาที่เขาหิมพานต์แล้ว; พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงถามพระภิกษุสงฆ์ว่า ''อาวุโส, ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มีภิกษุองค์ใดไม่ได้มาประชุมบ้าง.''

ภิกษุองค์หนึ่งเรียนพระเถรเจ้าว่า ''ภิกษุที่ไม่ได้มาประชุมมีอยู่ คือ พระโรหณะผู้มีอายุไปสู่เขาหิมพานต์ เข้านิโรธสมาบัติได้เจ็ดวันเข้าวันนี้แล้ว. ขอพระเถรเจ้าจงใช้ทูตไปเรียกเธอมาเถิด.''

ขณะนั้นพระโรหณะผู้มีอายุออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว, ทราบว่าพระสงฆ์ให้หาท่าน, จึงอันตรธานจากเขาหิมพานต์, มาปรากฏข้างหน้าแห่งพระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ณ พื้นถ้ำรักขิตคูหา.

พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงมีวาจาถามว่า ''ดูก่อนโรหณะผู้มีอายุ, เหตุไฉน เมื่อพระพุทธศาสนาทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้, ท่านจึงไม่ช่วยดูแลกิจที่สงฆ์จะต้องทำ ?''

ท่านเรียนตอบว่า ''ข้าแต่พระเถรเจ้า, ข้อนั้นเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้มนสิการทำในใจ.''

จึงพระเถรเจ้าปรับโทษว่า ''ถ้าอย่างนั้น ท่านจงทำทัณฑกรรมรับปรับโทษเสียเถิด.''

ท่านเรียนถามว่า ''ข้าแต่พระเถรเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องทำทัณฑกรรมอะไร ?''

พระเถรเจ้าจึงบังคับว่า ''มีบ้านพราหมณ์อยู่ข้างเขาหิมพานต์แห่งหนึ่ง ชื่อกชังคลคาม. มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ชื่อโสณุตตระอาศัยอยู่ในบ้านนั้น. บุตรของโสณุตตรพราหมณ์นั้น จักเกิดขึ้นคนหนึ่ง คือ ทารกชื่อนาคเสน. ท่านจงไปบิณฑบาตที่ตระกูลนั้น ให้ครบเจ็ดปีกับสิบเดือนแล้ว, จงนำเอาทารกชื่อนาคเสนนั้นมาบวช. เมื่อนาคเสนนั้นบวชแล้ว ท่านจงพ้นจากทัณฑกรรม.'' พระโรหณะผู้มีอายุก็รับคำของพระเถรเจ้าแล้ว.

ฝ่ายมหาเสนเทพบุตร ได้จุติจากเทวโลก, ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งภริยาของโสณุตตรพราหมณ์. ขณะถือปฏิสนธินั้นได้มีอัศจรรย์ปรากฏสามประการ: คือ
เครื่องอาวุธทั้งหลายส่องแสงโพลงขึ้นประการหนึ่ง,
ข้าวกล้าที่ยังไม่ออกรวงก็ออกรวงสุกประการหนึ่ง,
มหาเมฆบันดาลเมฆให้ฝนห่าใหญ่ตกลงมาประการหนึ่ง.

ฝ่ายพระโรหณะผู้มีอายุ จำเดิมแต่มหาเสนเทพบุตรถือปฏิสนธิมาได้เข้าไปบิณฑบาตที่ตระกูลนั้นมิได้ขาด ถึงเจ็ดปีกับสิบเดือน, ก็ไม่ได้ข้าวสวยแม้สักทรพีหนึ่ง, ไม่ได้ข้าวต้มแม้สักกระบวยหนึ่ง, ไม่ได้รับไหว้ใครประณมมือหรือแสดงอาการเคารพอย่างอื่น แม้สักวันเดียว; กลับได้แต่คำด่าว่าเสียดสี ไม่มีใครที่จะกล่าวโดยดี แม้แต่เพียงว่า 'โปรดสัตว์ข้างหน้าเกิดเจ้าข้า' ดังนี้ ในวันหนึ่ง. วันนั้นโสณุตตรพราหมณ์กลับมาจากที่ทำงานภายนอกบ้าน, พบพระเถรเจ้าเดินสวนทางมาจึงถามว่า ''บรรพชิต, วันนี้ท่านได้ไปเรือนของเราแล้วหรือ ?''

ท่านตอบว่า ''เออ พราหมณ์, วันนี้เราได้ไปเรือนของท่านแล้ว.''

พราหมณ์ถามว่า ''ท่านได้อะไรๆ บ้างหรือเปล่า ?''

ท่านตอบว่า ''เออ พราหมณ์, วันนี้เราได้.''

พราหมณ์ได้ยินท่านบอกว่าได้ ดังนั้น, สำคัญว่าท่านได้อะไรไปจาก เรือนของตน, มีความเสียใจ, กลับไปถึงเรือนถามว่า ''วันนี้เจ้าได้ให้อะไรๆ แก่บรรพชิตนั้นหรือ?''

คนในเรือนตอบว่า ''ข้าพเจ้าไม่ได้ให้อะไรเลย.''ครั้นวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ นั่งคอยอยู่ที่ประตูเรือน ด้วยหวังจะยกโทษพระเถรเจ้าด้วยมุสาวาท, พอเห็นพระเถรเจ้าไปถึง, จึงกล่าวท้วงว่า ''เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้อะไรในเรือนของเราสักหน่อย พูดได้ว่าตัวได้. การพูดมุสาควรแก่ท่านหรือ?''

พระเถรเจ้าตอบว่า ''ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่ได้แม้แต่เพียงคำว่า 'โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า,' ดังนี้ ในเรือนของท่านถึงเจ็ดปีกับสิบเดือนแล้ว พึ่งได้คำเช่นนั้นเมื่อวานนี้เอง; เช่นนี้ เราจึงได้บอกแก่ท่านว่าเราได้ ด้วยหมายเอาการกล่าวปราศรัยด้วยวาจานั้น.''

พราหมณ์นึกว่า ''บรรพชิตพวกนี้ได้รับแต่เพียงการกล่าวปราศรัยด้วยวาจา ยังพูดสรรเสริญในท่ามกลางประชาชนว่าตนได้รับ, ถ้าได้ของเคี้ยวของกินอะไร ๆ อย่างอื่นอีกแล้ว, เหตุไฉนจะไม่พูดสรรเสริญ?'' จึงมีความเลื่อมใส สั่งคนให้แบ่งข้าวที่จัดไว้เพื่อตัว ถวายพระเถรเจ้าทรพีหนึ่ง ทั้งกับข้าวพอสมควรกันแล้ว, ได้พูดว่า ''ท่านจักได้อาหารนี้เสมอเป็นนิตย์ จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้น.'' เมื่อพระเถรเจ้าไปถึง; พราหมณ์ได้เห็นอาการสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของท่านเข้า, ก็ยิ่งเลื่อมใสมากขึ้น, จึงอาราธนาพระเถรเจ้าให้ทำภัตกิจในเรือนของตนเป็นนิตย์. พระเถรเจ้ารับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ (นึ่งอยู่) แล้ว; ตั้งแต่นั้นมา ทำภัตตกิจเสร็จแล้ว, เมื่อจะไป, ได้กล่าวพระพุทธวจนะน้อยหนึ่ง ๆ แล้ว จึงไปเสมอทุกวัน ๆ.

ฝ่ายนางพราหมณี ครั้นล่วงสิบเดือนคลอดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อนาคเสน. นาคเสนนั้นเติบใหญ่ขึ้นโดยลำดับกาล จนมีอายุได้เจ็ดขวบ; บิดาจึงกล่าวกะเขาว่า ''พ่อนาคเสน, บัดนี้เจ้าควรจะเรียนวิทยาในตระกูลพราหมณ์นี้แล้ว.''

นาคเสนถามว่า ''วิทยาอะไรพ่อ ชื่อว่าวิทยาในตระกูลพราหมณ์นี้ ?''

บิดาบอกว่า ''ไตรเพทแล, พ่อนาคเสน, ชื่อว่าวิทยา; ศิลปศาสตร์ที่เหลือจากนั้น ชื่อว่าศิลปศาสตร์.'' นาคเสนก็รับว่าจะเรียน. โสณุตตรพราหมณ์ จึงให้ทรัพย์พันกษาปณ์แก่พราหมณ์ผู้จะเป็นครู เป็นส่วนสำหรับบูชาครูแล้ว, ให้ตั้งเตียงสองตัวให้ชิดกัน ในห้องภายในปราสาทแห่งหนึ่งแล้ว กำชับสั่งพราหมณ์ผู้เป็นครูว่า ''ขอท่านจงให้เด็กผู้นี้ท่องมนต์เถิด''

พราหมณ์ผู้เป็นครูพูดว่า ''ถ้าอย่างนั้น พ่อหนูเรียนมนต์เถิด;'' ดังนี้แล้ว, ก็สาธยายขึ้น. นาคเสนว่าตามครั้งเดียว, ไตรเพทก็ขึ้นใจขึ้นปากกำหนดจำได้แม่นยำ, ทำในใจตรึกตรองได้ดีโดยคล่องแคล่ว, เกิดปัญญาดุจดวงตาเห็นใน ไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิคัณฑุศาสตร์และ, คัมภีร์เกฏุภศาสตร์ พร้อมทั้งอักษรประเภท พร้อมทั้งคัมภีร์อิติหาสศาสตร์ครบทั้งห้าอย่าง, ว่าขึ้นอย่างหนึ่ง แล้วก็เข้าใจความแห่งพากย์นั้น ๆ พร้อมทั้งไวยากรณ์. ชำนิชำนาญในคัมภีร์โลกายตศาสตร์ และมหาปุริสลักษณพยากรณศาสตร์ ครบทุกอย่างแล้ว, จึงถามบิดาว่า ''พ่อ, ในตระกูลพราหมณ์นี้ ยังมีข้อที่จะต้องศึกษายิ่งกว่านี้อีก หรือมีแต่เพียงเท่านี้.'' เมื่อบิดาบอกว่า ''ข้อที่จะต้องศึกษายิ่งกว่านี้อีกไม่มีแล้ว ข้อที่ต้องศึกษานั้นมีเพียงเท่านี้,'' แล้วจึงสอบความรู้ต่ออาจารย์เสร็จแล้ว, กลับลงมาจากปราสาท, อันวาสนาคือกุศลที่ได้เคยอบรมมาแต่ปางก่อน เข้าเตือนใจบันดาลให้หลีกเข้าไปอยู่ ณ ที่สงัดแล้ว, พิจารณาดูเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดแห่งศิลปศาสตร์ของตน, ไม่แลเห็นแก่นสารในเบื้องต้น ในท่ามกลางหรือในที่สุดนั้น แม้สักหน่อยหนึ่งแล้ว, จึงมีความเดือดร้อนเสียใจว่า ''ไตรเพทเหล่านี้เปล่าจากประโยชน์เทียวหนอ, ไตรเพทเหล่านี้เป็นแต่ของจะต้องท่องเพ้อเปล่า ๆ เทียวหนอไม่มีแก่นสาร หาแก่นสารมิได้เลย.''

ในสมัยนั้น พระโรหณะผู้มีอายุนั่งอยู่ที่วัตตนิยเสนาสน์ ทราบปริวิตกแห่งจิตของนาคเสนด้วยวารจิตของตนแล้ว, ครองผ้าตามสมณวัตรแล้ว, ถือบาตรจีวรอันตรธานจากวัตตนิยเสนาสน์, มาปรากฏที่หน้าบ้านกชังคลคาม.

นาคเสนยืนอยู่ที่ซุ้มประตูแลเห็นพระเถรเจ้ามาอยู่แต่ไกล, ก็มีใจยินดีร่าเริงบันเทิงปีติโสมนัส, ดำริว่า ''บางทีบรรพชิตรูปนี้จะรู้วิทยาที่เป็นแก่นสารบ้างกระมัง,'' จึงเข้าไปใกล้แล้ว, ถามว่า ''ท่านผู้นิรทุกข์, ท่านเป็นอะไร จึงโกนศีรษะและนุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดเช่นนี้?''

ร. ''เราเป็นบรรพชิต.,

น. ''ท่านเป็นบรรพชิต. ด้วยเหตุอย่างไร ?''

น. ''เราเว้นจากกิจการบ้านเรือน เพื่อจะละมลทินที่ลามกเสียแล้ว, เราจึงชื่อว่าเป็นบรรพชิต.''

น. ''เหตุไฉน ผมของท่านจึงไม่เหมือนของเขาอื่นเล่า ?''

ร. ''เราเห็นเหตุเครื่องกังวลสิบหกอย่าง เราจึงโกนเสีย.

เหตุเครื่องกังวล ๑๖ อย่างนั้น คือ
- กังวลด้วยต้องหาเครื่องประดับ ๑
- กังวลด้วยต้องแต่ง ๑,
- กังวลด้วยต้องทาน้ำมัน ๑,
- กังวลด้วยต้องสระ ๑,
- กังวลด้วยต้องประดับดอกไม้ ๑,
- กังวลด้วยต้องทาของหอม ๑,
- กังวลด้วยต้องอบกลิ่น ๑,
- กังวลด้วยต้องหาสมอ (สำหรับสระ) ๑,
- กังวลด้วยต้องหามะขามป้อม (สำหรับสระ) ๑,
- กังวลด้วยจับเขม่า ๑,
- กังวลด้วยต้องเกล้า ๑,
- กังวล ด้วยต้องหวี ๑,
- กังวลด้วยต้องตัด ๑,
- กังวลด้วยต้องสาง ๑,
- กังวลด้วยต้องหาเหา ๑,
- และเมื่อผมร่วงโกร๋น เจ้าของย่อมเสียดาย ๑:

รวมเป็นเหตุ เครื่องกังวลสิบหกอย่าง. คนที่กังวลอยู่ในเหตุสิบหกอย่างนี้ ย่อมทำศิลปที่สุขุมยิ่งนักให้ฉิบหายเสียทั้งหมด.''

น. ''เหตุไฉนผ้านุ่งผ้าห่มของท่าน จึงไม่เหมือนของเขาอื่นเล่า ?''

ร. ''ผ้าที่กิเลสกามอิงอาศัย เป็นที่ใคร่ของคน เป็นเครื่องหมายเพศคฤหัสถ์; ภัยอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะผ้า, ภัยนั้นมิได้มีแก่ผู้ที่นุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด; เหตุนั้น ผ้านุ่งห่มของเราจึงไม่เหมือนของเขาอื่น.''

น. ''ท่านรู้ศิลปศาสตร์อยู่บ้างหรือ ?''

ร. ''เออ เรารู้, แม้มนต์ที่สูงสุดในโลกเราก็รู้.''

น. ''ท่านจะให้มนต์นั้นแก่ข้าพเจ้าได้หรือ ?''

ร. ''เออ เราจะให้ได้.''

น. ''ถ้าอย่างนั้น ท่านให้เกิด.''

ร. ''เวลานี้ยังไม่เป็นกาล เพราะเรายังกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่.''

ลำดับนั้น นาคเสนรับบาตรจากหัตถ์พระเถรเจ้าแล้ว, นิมนต์ให้เข้าไปในเรือนแล้ว, อังคาสด้วยขัชชะโภชชาหารอันประณีต ด้วยมือของตนจนอิ่มแล้ว, พูดเตือนว่า ''เวลานี้ท่านให้มนต์นั้นเถิด.''

พระเถรเจ้าตอบว่า ''ท่านจะขอให้มารดาบิดาอนุญาตแล้ว ถือเพศบรรพชิตที่เราถืออยู่นี้ เป็นคนไม่มีกังวลได้เมื่อใด, เราจะให้แก่ท่านเมื่อนั้น.''

นาคเสนจึงไปหามารดาบิดาบอกว่า ''บรรพชิตรูปนี้พูดอยู่ว่า 'รู้มนต์ที่สูงสุดในโลก' ก็แต่ไม่ยอมให้แก่ผู้ที่ไม่ได้บวชในสำนักของตน ฉันจะขอบวช เรียนมนต์นั้นในสำนักของบรรพชิตผู้นี้.''

มารดาบิดาสำคัญใจว่า ลูกของตนบวชเรียนมนต์นั้นแล้ว จักกลับมา จึงอนุญาตว่า ''เรียนเถิดลูก.'' ครั้นมารดาบิดาอนุญาตให้นาคเสนบวชแล้ว พระโรหณะผู้มีอายุก็พานาคเสน ไปสู่วัตตนิยเสนาสน์และวิชัมภวัตถุเสนาสน์แล้ว พักอยู่ที่วิชัมภวัตถุเสนาสน์ราตรีหนึ่งแล้ว ไปสู่พื้นถ้ำรักขิตคูหาแล้ว บวชนาคเสนในท่ามกลางพระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ณ ที่นั้น.

พอบวชแล้วสามเณรนาคเสนก็เตือนพระเถรเจ้าว่า ''ข้าพเจ้าได้ถือเพศของท่านแล้ว, ขอท่านให้มนต์นั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.''

พระเถรเจ้าตรองว่า ''เราจะแนะนาคเสนในอะไรก่อนดีหนอ จะแนะในพระสุตตันปิฎกก่อนดี หรือจะแนะในพระอภิธรรมปิฎกก่อนดี,'' ครั้นตรองอยู่อย่างนี้ ได้สันนิษฐานลงว่า ''นาคเสนผู้นี้ มีปัญญาสามารถจะเรียนพระอภิธรรมปิฎกได้โดยง่าย,'' จึงได้แนะให้เรียนพระอภิธรรมปิฎกก่อน.

สามเณรนาคเสนสาธยายหนเดียว ก็จำพระอภิธรรมปิฎกได้คล่องทั้งหมดแล้ว จึงบอกพระเถรเจ้าว่า ''ขอท่านหยุดอย่าสวดต่อไปเลย; ข้าพเจ้าจักสาธยายแต่เพียงเท่านี้ก่อน.'' แล้วเข้าไปหาพระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิแล้ว กล่าวว่า ''ข้าพเจ้าจะสวดพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดถวายโดยพิสดาร.''

พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏินั้นตอบว่า ''ดีละ นาคเสน ท่านสวดเถิด.''

สามเณรนาคเสนก็สวดพระธรรมเจ็ดคัมภีร์นั้นโดยพิสดาร ถึงเจ็ดเดือนจึงจบ มหาปฐพีบันลือเสียงลั่น, เทวดาถวายสาธุการ, มหาพรหมตบพระหัตถ์, เทพเจ้าทั้งหลายบันดาลจุรณ์จันทน์และดอกมัณฑทารพอันเป็นของทิพย์ให้ตกลง ดุจห่าฝนแล้ว. ครั้นสามเณรนาคเสนมีอายุได้ยี่สิบปีบริบูรณ์แล้ว. พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ก็ประชุมกันที่พื้นถ้ำรักขิตคูหา ให้สามเณรนาคเสนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ, ครั้นรุ่งเช้าพระนาคเสนเข้าไป
บิณฑบาตในบ้านกับพระอุปัชฌาย์ดำริแต่ในจิตว่า ''พระอุปัชฌาย์ของเรา เป็นคนไม่รู้จักอะไรหนอ, พระอุปัชฌาย์ของเราเป็นคนเขลาหนอ, เพราะท่านสอนให้เราศึกษาพระอภิธรรมปิฎกก่อนกว่าพระพุทธวจนะอื่นๆ.''

พระโรหณะผู้มีอายุผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ทราบความดำริในจิตของพระนาคเสนแล้ว กล่าวว่า ''นาคเสน ท่านดำริไม่สมควร, ความดำริเช่นนี้สมควรแก่ท่านก็หามิได้.''

พระนาคเสนนึกในใจว่า ''น่าอัศจรรย์หนอ! พระอุปัชฌาย์ของเรา ท่านมาทราบความดำริในจิตของเรา ด้วยวารจิตของท่าน, พระอุปัชฌาย์ของเรา ท่านมีปัญญาแท้ ๆ, ถ้าอย่างไร เราจะขอขมาให้ท่านอดโทษเสีย.'' ครั้นคิด อย่างนี้แล้ว จึงขอขมาโทษว่า ''ขอท่านจงอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า ต่อไปข้าพเจ้าจักไม่คิดเช่นนี้อีก.''

พระเถรเจ้าตอบว่า ''เราไม่ยอมอดโทษด้วยเพียงแต่สักว่าขอขมาเท่านี้. ก็แต่ว่ามีราชธานีหนึ่ง ชื่อว่าสาคลนคร, พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองราชสมบัติในราชธานีนั้น ทรงพระนามว่าพระเจ้ามิลินท์, เธอโปรดตรัสถามปัญหาปรารภทิฏฐิลัทธิต่าง ๆ ทำพระภิกษุสงฆ์ให้ได้ความลำบาก ในการที่จะกล่าวแก้ปัญหา ซึ่งเธอตรัสถาม, ถ้าว่าท่านจะไปทรมานเธอให้เลื่อมใสได้แล้ว เราจึงจะยอมอดโทษให้.''

พระนาคเสนเรียนตอบว่า ''อย่าว่าแต่พระเจ้ามิลินท์องค์เดียวเลย, ให้พระเจ้าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งหมด มาถามปัญหาข้าพเจ้า ๆ จะแก้ปัญหานั้น ทำลายล้างเสียให้หมด, ขอท่านอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด'' เมื่อพระเถรเจ้ายังไม่ยอมอดให้ จึงเรียนถามว่า ''ถ้าอย่างนั้นในไตรมาสนี้ ข้าพเจ้าจะไปอยู่ในสำนักของใครเล่า ?''

พระเถรเจ้าตอบว่า ''พระอัสสคุตตเถระผู้มีอายุ ท่านอยู่ที่วัตตนิยเสนาสน์, ท่านจงไปหาท่านแล้ว กราบเรียนตามคำของเราว่า ''พระอุปัชฌาย์ ของข้าพเจ้าให้มากราบเท้าท่าน และเรียนถามว่า ''ท่านไม่มีอาพาธเจ็บไข้ ยังมีกำลังลุกคล่องแคล่วอยู่ผาสุกหรือ,'' และส่งข้าพเจ้ามาด้วยปรารถนาจะให้อยู่ในสำนักของท่านสิ้นไตรมาสนี้;'' และเมื่อท่านจะถามว่า ''พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อไร'' ดังนี้แล้ว, ก็เรียนท่านว่า ''พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าชื่อโรหณเถระ,'' และเมื่อท่านจะถามว่า ''เราชื่อไรเล่า'' ก็เรียนท่านว่า ''พระอุปัชฌาย์ ของข้าพเจ้าทราบชื่อของท่าน.''

พระนาคเสนรับคำของพระเถรเจ้าแล้วกราบลา ทำประทักษิณแล้ว ถือบาตรจีวรหลีกจาริกไปโดยลำดับ ถึงวัตตนิยเสนาสน์แล้วเข้าไปหาพระอัสสคุตตเถรเจ้า กราบท่านแล้วยืน ณ ที่สมควรแห่งหนึ่งเรียนตามคำซึ่งพระอุปัชฌาย์ของตนสั่งมาทุกประการ.

พระอัสสคุตตเถรเจ้าถามว่า ''ท่านชื่อไร ?''

น. ''ข้าพเจ้าชื่อนาคเสน.''

อ. ''พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อไร ?''

น. ''พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้า ชื่อโรหณเถระ.''

อ. ''เราชื่อไรเล่า ?''

น. ''พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าทราบชื่อของท่าน.''

อ. ''ดีละ นาคเสน ท่านเก็บบาตรจีวรเถิด.''

พระนาคเสนเก็บบาตรจีวรไว้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น ได้กวาดบริเวณตั้งน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันไว้ถวาย. พระเถรเจ้ากลับกวาดที่ซึ่งพระนาคเสนกวาดแล้วเสียใหม่, เทน้ำนั้นเสียแล้ว ตักน้ำอื่นมา, หยิบไม้สีฟันนั้นออกเสียแล้ว หยิบไม้สีฟันอันอื่นใช้, ไม่ได้เจรจาปราศรัยแม้สักหน่อยเลย. พระเถรเจ้าทำดังนี้ถึงเจ็ดวัน ต่อถึงวันที่เจ็ดจึงถามอย่างนั้นอีก. พระนาคเสนก็เรียนตอบเหมือนนั้น. ท่านจึงอนุญาตให้อยู่จำพรรษาในที่นั้น.

ในสมัยนั้น มีมหาอุบาสิกาผู้หนึ่ง ซึ่งได้อุปฐากพระเถรเจ้ามาถึงสามสิบพรรษาแล้ว เมื่อล่วงไตรมาสนั้นแล้ว มาหาพระเถรเจ้าเรียนถามว่า ''มี ภิกษุอื่นมาจำพรรษาอยู่ในสำนักของท่านบ้างหรือไม่ ?''

ท่านตอบว่า ''มีพระนาคเสนองค์หนึ่ง.''

มหาอุบาสิกานั้นจึงนิมนต์พระเถรเจ้ากับพระนาคเสนไปฉันที่เรือนในวันรุ่งขึ้น. พระเถรเจ้ารับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพแล้ว ครั้นล่วงราตรีนั้นถึงเวลาเช้าแล้ว ท่านครองผ้าตามสมณวัตรแล้ว ถือบาตรจีวรไปกับพระนาคเสนเป็นปัจฉาสมณะตามหลังถึงเรือนมหาอุบาสิกานั้นแล้ว นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ถวาย. มหาอุบาสิกานั้นจึงอังคาสพระเถรเจ้ากับพระนาคเสนด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน. ครั้นฉันเสร็จแล้ว พระเถรเจ้าสั่งพระนาคเสนว่า ''ท่านทำอนุโมทนาแก่มหาอุบาสิกาเถิด.'' ครั้นสั่งดังนั้นแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป.

ส่วนมหาอุบาสิกานั้นกล่าวขอกะพระนาคเสนว่า ''ตนเป็นคนแก่แล้ว ขอให้พระนาคเสนทำอนุโมทนาแก่ตนด้วยธรรมีกถาที่ลึกสุขุมเถิด'' พระนาคเสนก็ทำอนุโมทนาแก่มหาอุบาสิกานั้นด้วยอภิธรรมกถาอันลึกละเอียด แสดงโลกุตตรธรรมปฏิสังยุตด้วยสุญญตานุปัสสนา ขณะนั้น มหาอุบาสิกานั้นได้ธรรมจักษุคือปัญญาที่เห็นธรรมปราศจากธุลีปราศจากมลทินคือกิเลสในที่นั่งนั้นเองว่า ''สิ่งใดสิ่งหนึ่งความเถิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นมี ความดับเป็นธรรมดา'' ดังนี้. แม้พระนาคเสนเอง ทำอนุโมทนาแก่อุบาสิกานั้นแล้ว พิจารณาธรรมที่ตนแสดงอยู่ นั่งเจริญวิปัสสนาอยู่ที่อาสนะนั้นก็ได้ บรรลุโสดาปัตติผล.

เวลานั้น พระอัสสคุตตเถรเจ้านั่งที่วิหาร ทราบว่าพระนาคเสนและมหาอุบาสิกา ได้ธรรมจักษุบรรลุโสดาปัตติผลทั้งสองคน จึงให้สาธุการว่า ''ดีละ ๆ นาคเสน ท่านยิงศรเล่มเดียว ทำลายกองสักกายทิฐิอันใหญ่ได้ถึงสองกอง.'' แม้เทวดาทั้งหลายก็ได้ถวายสาธุการหลายพันองค์. พระนาคเสนลุกจากอาสนะกลับมาหาพระอัสสคุตตเถรเจ้า อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระเถรเจ้าจึงสั่งว่า ''ท่านจงไปสู่เมืองปาฏลิบุตร, เรียนพระพุทธวจนะในสำนักแห่งพระธรรมรักขิตเถระผู้มีอายุ ซึ่งอยู่ในอโสการามเถิด.''

น. ''เมืองปาฏลีบุตร แต่ที่นี้ไปไกลกี่มากน้อย ?''

อ. ''ไกลร้อยโยชน์.''

น. ''หนทางไกลนัก, ในกลางทางอาหารก็หาได้ยาก, ข้าพเจ้าจะไปอย่างไรได้ ?''

อ. ''ไปเถิดนาคเสน, ในกลางทางท่านจักได้บิณฑบาตข้าวสาลีที่บริสุทธิ์และแกงกับเป็นอันมาก.''

พระนาคเสนรับคำของพระเถรเจ้าแล้ว กราบลาท่าประทักษิณแล้ว ถือบาตรจีวรจาริกไปเมืองปาฏลิบุตร

ในสมัยนั้น เศรษฐีชาวเมืองปาฏลิบุตรพร้อมด้วยเกวียนห้าร้อยกำลัง
เดินทางจะไปเมืองปาฏลีบุตรอยู่. ได้เห็นพระนาคเสนเดินทางมาแต่ไกล, จึงสั่งให้กลับเกวียนห้าร้อยนั้นแล้ว ไปหาพระนาคเสนถามว่า ''พระผู้เป็นเจ้าจัก ไปข้างไหน ?''

พระนาคเสนตอบว่า ''จะไปเมืองปาฏลิบุตร.''

เศรษฐีชวนว่า ''ดีละ ข้าพเจ้าก็จะไปเมืองปาฏลิบุตรเหมือนกัน, พระผู้เป็นเจ้าจงไปกับข้าพเจ้าเถิด จะได้ไปเป็นสุข'' ดังนี้, แล้วเลื่อมใสในอิริยาบถของพระนาคเสน แล้วอังคาสท่านด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตนจนอิ่มเสร็จแล้วนั่ง ณ ที่อาสนะต่ำแห่งหนึ่งแล้วถามว่า ''พระผู้เป็นเจ้า ชื่อไร ?''

น. ''เราชื่อนาคเสน.''

ศ. ''พระผู้เป็นเจ้าทราบพระพุทธวจนะบ้างหรือ ?''

น. ''เราทราบพระอภิธรรมอยู่บ้าง.''

ศ. ''เป็นลาภของข้าพเจ้าที่ได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า, เพราะข้าพเจ้าก็เป็นผู้ศึกษาพระอภิธรรม, พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นผู้ศึกษาพระอภิธรรม, ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงพระอภิธรรมแก่ข้าพเจ้า.'' พระนาคเสนก็แสดงพระอภิธรรมให้เศรษฐีฟัง, เมื่อกำลังแสดงอยู่นั้น เศรษฐีได้ธรรมจักษุบรรลุโสดาปัตติผล, แล้ว จึงสั่งให้เกวียนห้าร้อยนั้นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนตัวเองมากับพระนาคเสนข้างหลัง ถึงทางสองแยกใกล้เมืองปาฏลิบุตร ก็หยุดยืนชี้บอกหนทางที่จะไปอโสการาม แล้วถวายผ้ารัตตกัมพลของตน ยาวสิบหกศอกกว้างแปดศอกแก่พระนาคเสน แล้วเดินแยกทางไป.

ส่วนพระนาคเสนไปถึงอโสการามแล้ว เข้าไปหาพระธรรมรักขิตเถรเจ้าแล้ว กราบเรียนเหตุที่ตนมาแล้ว ขอเรียนพระพุทธวจนะไตรปิฎกธรรมในสำนักแห่งพระเถรเจ้า เป็นแต่เพียงสาธยายพยัญชนะคราวละหนเท่านั้นถึงสามเดือนจึงจบ ยังซ้ำพิจารณาอรรถแห่งพระพุทธวจนะที่ได้เรียนแล้วอีกสามเดือนจึงตลอด. พระธรรมรักขิตเถรเจ้าเห็นพระนาคเสนแม่นยำชำนาญในพระพุทธวจนะไตรปิฎกธรรมแล้ว จึงกล่าวเตือนให้สติว่า ''ดูก่อนนาคเสน ถึงว่าท่านทรงพระพุทธวจนะไตรปิฎกได้แล้ว ก็ยังไม่ได้ผลแห่งสมณปฏิบัติ, เหมือนนายโคบาลถึงเลี้ยงโคก็มิได้บริโภคโครสเหมือนคนอื่นฉะนั้น,''

พระนาคเสนเรียนตอบพระเถรเจ้าว่า ''กล่าวเตือนด้วยวาจาเพียงเท่านี้ พอแล้ว'' ในวันนั้น บำเพ็ญเพียรก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยพระจตุปฏิสัมภิทาญาณ. ขณะนั้น เทวดาได้ถวายสาธุการ, มหาปฐพีบันลือเสียงลั่น, มหาพรหมตบพระหัตถ์, เทพเจ้าทั้งหลายบันดาลจุรณ์จันทน์และดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ให้ตกลงดุจห่าฝน เป็นมหัศจรรย์.

ครั้นพระนาคเสนได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ก็ประชุมกันที่พื้นถ้ำรักขิตคูหา ณ เขาหิมพานต์ ส่งทูตให้นำสาส์นไปยังสำนักพระนาคเสนว่า ''ขอพระนาคเสนจงมาหา เราทั้งหลายปรารถนาจะพบ, ดังนี้. พระนาคเสนได้ฟังทูตบอกดังนั้นแล้วจึงอันตรธานจากอโสการาม มาปรากฏที่เฉพาะหน้าแห่งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายนั้น. พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจึงมีคำสั่งว่า ''นั้นแน่ะ นาคเสน พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามปัญหาโต้ตอบถ้อยคำ ทำภิกษุสงฆ์ให้ได้ความสำบากยิ่งนัก, ขอท่านไปทรมานพระเจ้ามิลินท์เถิด.,

พระนาคเสน ตอบว่า ''ข้าแต่พระเถรเจ้าทั้งหลาย อย่าว่าแต่เจ้ามิลินท์พระองค์เดียวเลย, ให้พระเจ้าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งหมดมาถามปัญหาข้าพเจ้า ๆ จะวิสัชนาแก้ทำลายล้างเสียให้หมด, ขอท่านทั้งหลายอย่าได้กลัวเลย จงไปสู่สาคลราชธานีเถิด.'' พระเถรเจ้าทั้งหลายก็พากันไปสู่สาคลราชธานี ทำพระนครนั้นให้เหลืองอร่ามด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ มีสมณบริษัทเดินไปมาไม่ขาด.

ในสมัยนั้น พระอายุปาลเถรเจ้าผู้มีอายุ อาศัยอยู่ที่สังเขยยบริเวณ ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ตรัสปรึกษาราชอมาตย์ทั้งหลายว่า ''คืนวันนี้เดือนหงายน่าสบายนัก, เราจะไปสากัจฉาถามปัญหากะสมณะหรือพราหมณ์ผู้ไหนดีหนอ, ใครจะสามารถเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้ ?,

ราชอมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า ''มีพระเถระรูปหนึ่งชื่ออายุปาละ ได้เล่าเรียนพระคัมภีร์แตกฉาน เป็นพหุสูตทรงพระไตรปิฎก, ในเวลานี้ท่านอยู่ที่สังเขยยบริเวณ, ขอพระองค์เสด็จไปถามปัญหากะพระอายุปาลเถระนั้นเถิด,

พระเจ้ามิลินท์รับสั่งว่า ''ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงไปแจ้งความแก่ท่านให้ทราบก่อน,

เนมิตติกอมาตย์รับสั่งแล้ว จึงใช้ทูตไปแจ้งแก่พระอายุปาลเถรเจ้าว่า ''พระราชามีพระประสงค์จะใคร่เสด็จพระราชดำเนินมาพบพระเถรเจ้า.,

พระเถรเจ้าก็ถวายโอกาสว่า ''เชิญเสด็จมาเถิด.,

จึงพระเจ้ามิลินท์เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง พร้อมด้วยอมาตย์ชาติโยนก ห้าร้อยห้อมล้อมเป็นราชบริวาร เสด็จพระราชดำเนินมาถึงสังเขยยบริเวณวิหารแล้ว เสด็จไปยังสำนักพระอายุปาลเถรเจ้า ทรงพระราชปฏิสันถาร ปราศรัยกับพระเถรเจ้าพอสมควรแล้ว เสด็จประทับ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงตรัสถามปัญหากะพระเถรเจ้า ดังนี้:

มิ. ''บรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า มีประโยชน์อย่างไร, และอะไรเป็นประโยชน์ที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์เป็นอย่างยิ่ง ?,

อา. ''บรรพชามีประโยชน์ที่จะได้ประพฤติให้เป็นธรรม ประพฤติให้เสมอ.,

มิ. ''ใคร ๆ แม้เป็นคฤหัสถ์ที่ประพฤติเป็นธรรม ประพฤติเสมอได้ มีอยู่บ้างหรือไม่ ?,

อา. ''ขอถวายพระพร มีอยู่, คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระธรรมจักร ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี, ครั้งนั้น พรหมได้บรรลุธรรมาภิสมัยถึงสิบแปดโกฏิ, ส่วนเทวดาซึ่งได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมากพ้นที่จะนับได้;
พรหมและเทวดาเหล่านั้นล้วนเป็นคฤหัสถ์มิใช่บรรพชิต อนึ่ง เมื่อทรงแสดงมหาสมยสูตร มงคลสูตร สมจิตตปริยายสูตร ราหุโลวาทสูตร และปราภวสูตรเทวดา ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมากเหลือที่จะนับได้;
เทวดาเหล่านี้ล้วนเป็นคฤหัสถ์ มิใช่บรรพชิต.,

มิ. ''ถ้าอย่างนั้น บรรพชาของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร, ตกลง เป็นพระสมณะเหล่าศากยบุตรบวชและสมาทานธุดงค์ เพราะผลวิบากแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้แต่ปางก่อน คือ
- ภิกษุใดถือเอกาสนิกธุดงค์, ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้น จะเป็นโจรลักโภคสมบัติของคนอื่นเป็นแน่; เพราะโทษที่แย่งชิงโภคสมบัติของเขา เดี๋ยวนี้จึงต้องนั่งฉันอาหารในที่อันเดียว ไม่ได้ฉันตามสบาย ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น.
- อนึ่ง ภิกษุใดถืออัพโภกาสิกาธุดงค์, ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้นจะเป็นโจรปล้นบ้านเขาเป็นแน่; เพราะโทษที่ทำเรือนเขาให้ฉิบหาย เดี๋ยวนี้จึงต้องอยู่แต่ในที่แจ้ง ไม่ได้อาศัยในเสนาสนะ ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น.
- อนึ่ง ภิกษุใดถือเนลัชชิกธุดงค์, ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้นจะเป็นโจรปล้นในหนทางเปลี่ยวเป็นแน่; เพราะโทษที่อันคนเดินทางมาผูกมัดให้นั่งแกร่วอยู่ เดี๋ยวนี้จึงต้องนั่งแกร่วไม่ได้นอน ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น; ศีลของเธอไม่มี ความเพียร(ทรมานกิเลส) ของเธอไม่มี พรหมจรรย์ของเธอไม่มี.,

เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสเช่นนี้ พระเถรเจ้าก็นิ่งอั้น ไม่ทูลถวายวิสัชนาอย่างไรอีกได้. ราชอมาตย์ทั้งหลายนั้นจึงกราบทูลว่า ''พระเถรเจ้าเป็นคนมีปัญญา, แต่ไม่กล้า จึงมิได้ทูลถวายวิสัชนาอย่างไรอีกได้., ครั้นพระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรเห็นพระเถรเจ้านึ่งอั้น ก็ตบพระหัตถ์ ทรงพระสรวลแล้ว ตรัสกะอมาตย์ทั้งหลายว่า ''ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียวหนอ, ไม่มีสมณะพราหมณ์ผู้ไหน สามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้, ดังนี้แล้ว, เหลียวทอดพระเนตรเห็นหมู่อมาตย์มิได้หวาดหวั่นครั่นคร้าม มิได้เก้อเขิน จึงทรงพระราชดำริว่า ''ชะรอยจะมีภิกษุอะไรอื่น ๆ ที่ฉลาดสามารถจะเจรจากับเราอีกเป็นแม่นนั่น, ชาวโยนกเหล่านี้จึงไม่เก้อเขิน, ดังนี้แล้ว, ตรัสถามอมาตย์ทั้งหลายนั้นว่า ''ยังมีภิกษุอะไรอื่น ที่ฉลาดสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้ อีกบ้างหรือ ?,

ในกาลนั้น พระนาคเสนเถรเจ้าอยู่ที่สังเขยยบริเวณนั้น กับภิกษุสงฆ์แปดหมื่นรูป, เทวมันติยอมาตย์จึงกราบทูลว่า ''ขอพระองค์ทรงรอก่อน ยังมีพระเถระอีกรูปหนึ่งชื่อว่านาคเสน เป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉียบแหลมว่องไว กล้าหาญ เป็นพหูสูต พูดไพเราะ มีความคิดดี บรรลุบารมีธรรม แตกฉานในพระจตุปฏิสัมภิทา สามารถทราบเหตุผล ฉลาดในโวหาร มีปฏิภาณคล่องแคล่ว, บัดนี้ท่านอยู่สังเขยยบริเวณ, พระองค์เสด็จไปถามปัญหากะท่านเถิด, ท่านสามารถจะเจรจากับพระองค์บรรเทาความสงสัยเสียได้.,

พอพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับเสียงออกชื่อว่า 'นาคเสน' ดังนั้น ให้ทรงกลัวครั่นคร้ามสยดสยอง (แข็งพระหฤทัย) ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า ''ท่านสามารถจะเจรจากับเราได้หรือไม่ ?,

เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า ''หากว่าจะเจรจากับเทพเจ้าซึ่งมีฤทธิอำนาจ มีท้าวโกสีย์เป็นต้นหรือกับท้าวมหาพรหม ท่านยังสามารถ, เหตุไฉน จักไม่อาจเจรจากับมนุษย์ได้เล่า.,

พระเจ้ามิลินท์จึงรับสั่งให้เทวมันติยอมาตย์ใช้ทูตไปแจ้งแก่ท่าน, ครั้นท่านถวายโอกาสแล้ว, ก็เสด็จไปสู่สังเขยยบริเวณ.

เวลานั้น พระนาคเสนเถรเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์แปดหมื่นรูปนั่งอยู่ที่มณฑลมาสก (วิหารกลม) พระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นบริษัทของพระเถรเจ้าแต่ไกลแล้ว, ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า ''นั่นบริษัทของใคร จึงใหญ่ถึงเพียงนี้.,

เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า ''บริษัทของพระนาคเสนเถรเจ้า,, ท้าวเธอก็ยิ่งทรงครั่นคร้ามขามขยาด แต่เกรงราชบริพารจะดูหมิ่นได้ จึงสะกดพระทัยไว้มั่น ตรัสแก่เทวมันติยอมาตย์ว่า ''ท่านอย่าเพ่อบอกตัวพระนาคเสนแก่เราเลย, เราจะหาพระนาคเสนให้รู้จักเอง, ไม่ต้องบอก.,

เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า ''จะทรงทอดพระเนตรหาพระนาคเสนให้รู้จักเองนั้นชอบแล้ว.,

ในพระภิกษุสงฆ์นั้น พระนาคเสนเถรเจ้า อ่อนกว่าภิกษุสี่หมื่นรูป ซึ่งนั่งอยู่หน้า, แก่กว่าภิกษุสี่หมื่นรูป ซึ่งนั่งอยู่หลัง. พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตร ภิกษุสงฆ์ทั้งข้างหน้าข้างหลังและท่ามกลาง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนาคเสนเถรเจ้านั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งภิกษุสงฆ์ (มีท่าทางองอาจ) ปราศจากความกลัวและครั่นคร้าม, ก็ทรงทราบโดยคาดอาการว่า 'องค์นั้นแหละพระนาคเสน' ดังนี้แล้ว ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า ''องค์นั้นหรือพระนาคเสน.,

เทวมันติยอมาตย์กราบทูลรับว่า ''พระพุทธเจ้าข้า องค์นั้นแหละ พระนาคเสน, พระองค์ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว., พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า 'พระองค์ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว.' พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า ''พระองค์ทรงรู้จักพระนาคเสนเอง ไม่ต้องทูล.'' พอทรงรู้จักพระนาคเสนแล้ว ก็ทรงกลัวครั่นคร้ามสยดสยองยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นอันมาก.

พาหิรกถา เรื่องนอกปัญหา จบ

อ่านต่อ