คาถาหลวงปู่ทวด

ให้บูชาด้วยธูปแขก 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึงท่าน ขอบารมีต่างๆ ตามต้องการ แล้วสวดพระคาถา ดังนี้

นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

(สวด 3 จบ)

ตำนานหลวงปู่ทวด

หลวงปู่ทวด

หลวงปู่ทวด, สมเด็จพะโคะ, สมเด็จเจ้าพระราชมุนี สามีรามคุณูปรมาจารย์

เป็นที่รู้จักกันดี ในสยามประเทศ เป็นที่ เคารพนับถือของชาวไทยทั่วทุกภูมิภาค ในฐานะ พระศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ และอภิญญา แก่กล้า จนได้สมญาว่า

 

"หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"

ประวัติอันพิสดารของท่าน มีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวัน ยิ่งซับซ้อน และขายวงกว้าง ออกไป กลายเป็นความเชื่อ ความศรัทธา อย่างลึกซึ้ง

จากตำนานท้องถิ่น ซึ่งปรากฏหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่ามีอยู่จริง กล่าวว่า ท่านเป็น พระเกจิอาจารย์รูปสำคัญ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้ศรัทธาในหลวงปู่ทวดเชื่อกันว่า พระเครื่อง ที่สร้างเนื่องด้วยท่านจะมีอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองผู้ครอบครอง ปัจจุบันหลวงปู่ทวดถือได้ว่าเป็น พระเกจิอาจารย์ในตำนาน ที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก ความสำคัญเป็นหนึ่งในสอง ของมหาเกจิอาจารย์ ของเมืองไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือ หลวงปู่โต ที่มีตัวตนจริง ในประวัติศาสตร์ เช่นกัน

ตามตำนานกล่าวว่า หลวงปู่ทวดเกิดในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2125 ณ. บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา ท่านได้บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี และอุปสมบทเมื่ออายุครบกาล

ท่านได้ศึกษาวิชาจาก ครูบาอาจารย์ต่างๆ จนมีความรู้ และเป็นผู้ทรงอภิญญามาก และได้แสดงปาฏิหาริย์ หลายครั้ง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จาก สมเด็จพระเอกาทศรศ ในครั้งสุดท้ายในราชทินนามว่า สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์

เมื่อมีอายุได้ 80 ปี ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดพะโคะ วัดบ้านเกิดของท่าน หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ ได้หายไปจากวัดพะโคะ เที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่า ท่านไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านขนานนามท่านว่า "ท่านลังกา" และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้าน ก็เรียกท่านว่า "ท่านช้างไห้" ดังนี้

ต่อมาท่านได้สั่งเสียแก่ศิษย์ใกล้ชิดว่า หากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพ ไปทำการ ฌาปนกิจ ณ วัดช้างไห้ด้วย ขณะหามศพผ่านไป ณ. ที่ใด หากน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้น ให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

อยู่มาไม่นานเท่าไรท่านก็ได้มรณภาพลง ด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 สิริอายุได้ 99 ปี ปวงศาสนิกชน ก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างไห้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี อันเป็นสถานที่ที่ท่านตั้งใจไว้ ตามประวัติ พอจะรวบรวมสถานพำนัก หรือสถานที่ที่ท่านเดินทางไปมาบ่อยๆ ได้พอสังเขปคือ วัดกุฏิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างไห้ เป็นสำคัญ ดังนี้

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

ตำนานหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดนี้ ถือเป็นเพียงแค่ หนึ่งในตำนาน มหา อภินิหารศักดิ์สิทธิ์ ที่มีมากมาย ของ สมเด็จเจ้าฯ จนเป็นที่กล่าวขานเป็นฉายา ของท่านสืบมา เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่ สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ เหตุการณ์นี้คาดคะเนว่าท่าน มีอายุราว 80 ปี เศษ

ในวันหนึ่ง ท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ประจำตัว ไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกกันว่า "ไม้เท้า 3 คด" หลวงปู่ออกจากวัด มุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่ง ทะเลจีน ขณะที่เดินรับอากาศ ชายทะเล อยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีน แล่นเลียบ ชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นพระเดินอยู่ ก็พาลคิดว่า ท่านเป็นประหลาด เนื่องท่าน ครองสมณเพส พวกโจรจึงนำเรือเทียบฝั่ง และจับท่านลงเรือไป เมื่อโจรนำเรือ ออกจากฝั่งได้ไม่นาน เหตุอัศจรรย์ก็ปรากฏ ขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกนั้นพยายามแก้ไข จนหมด ความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ จึงได้จอดเรืออยู่ ณ ที่นั้น เป็นเวลา หลายวันหลายคืน

ในที่สุดน้ำจืดในเรือที่เตรียมไว้บริโภคก็หมดสิ้น ไม่มีดื่มและหุงต้มอาหาร พากันเดือดร้อน กระวนกระวาย ด้วยกระหายน้ำเป็นอันมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรจีน ถึงที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกาบเรือให้เรือตะแคงต่ำแล้ว ยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล ทั้งนี้ก็ไม่พ้นหุพ้นตาจากการสังเกตุ ของพวกโจรจีนไปได้ เมื่อท่านยกเท้าขึ้นพ้นจากพื้นน้ำทะเล แล้วก็บอกให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อ ก็จำเป็นต้องทดลองด้วยอับจนหนทาง แต่ปรากฏว่าน้ำทะเลที่เค็มจัดตรงนั้น กลับแปรสภาพเป็นน้ำจืดสนิทเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็น แจ้งประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่าน เช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกของตน จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษ แล้วหาวิธีนำท่าน ล่องเรือกลับขึ้นไปส่งยังฝั่ง

เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านได้หยุดพักเหนื่อย ได้เอาไม้เท้า 3 คด พิงไว้กับต้นยางสองต้นที่ยืนต้นเคียงคู่กัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขา เปลี่ยนไปจากสภาพเดิม กลับคดๆงอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้น เรียกว่า ต้นยางไม้เท้า ซึ่งกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่ง ที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์ หน่อพระพุทธภูมิ ผุ้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลาง ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม

หลักการปฏิบัติของท่าน เป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์ คือ ช่วยเหลือประชาชน และเผยแพร่ธรรมะ เพื่อให้ชาวโลก มีความเคารพเลื่อมใสใน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สมดัง คำว่า

พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ตลอดไป

หลวงปุ่ทวด ถือเป็นที่พึ่งของชาวบ้านให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ช่วยบรรเทาการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของพุทธศาสนิกชนตลอดมา จนท่านละสังขาร ไปตามตำนาน กล่าวไว้เช่นนั้น....

"ธรรมทาน คือ ทานเพื่อส่งเสริม การบรรลุธรรม"

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ "การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง" (พุทธพจน์)