ปลงสังขาร
หลังจากการสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิแล้ว ควรระลึกปลงสังขารบทใดบทหนึ่งทุกครั้ง เพื่อความไม่ประมาท เมามัว ละความเป็นตัวตนลงทีละเล็กละน้อย จนจิตเบาและเกิดเป็นกุศล เมื่อค่อยๆ ละตัวตนจนเบาลง ศีลทานจะค่อยๆ เพิ่มพูนโดยธรรมเอง
บทปลงสังขาร ๑
๐ มนุษย์เราเอ๋ย นิพพานมีสุข ตัณหาหน่วงหนัก ฉันไปไม่ได้ ห่วงนั้นพันผูก ห่วงทรัพย์ศฤงคาร จะได้ไปนิพพาน
๐ ยามหนุ่มยามสาวน้อย งามแล้วทุกประการ แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นน้อยเก้าพัน ให้ร้อนให้เย็น ขนคิ้วก็ขาว เส้นผมบนหัว หน้าตาเว้าวอก จะลุกก็โอย เหมือนดอกไม้โรย จะเข้าที่นอน พระอนิจจัง เราท่านเกิดมา ผู้ดีเข็ญใจ เงินทองทั้งนั้น
๐ ตายไปเป็นผี เขาชักหน้าหนี เปื่อยเน่าพุพอง เขาหามเอาไป เขานั่งร้องไห้ อยู่แต่ผู้เดียว เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงกา ยื้อแย่งกันกิน
๐ กระดูกกูเอ๋ย แร้งกาหมากิน เที่ยงคืนสงัด ไม่เห็นลูกหลาน เห็นแต่นกเค้า เห็นแต่นกแสก เห็นแต่ฝูงผี
๐ มนุษย์เราเอ๋ย ไม่มีแก่นสาร ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ทันพระพุทธเจ้า | เกิดมาทำไม อยู่ไยมิไป หน่วงชักหน่วงไว้ ตัณหาผูกพัน ห่วงลูกห่วงหลาน จงสละเสียเถิด ข้ามพ้นภพสาม ฯ
หน้าตาแช่มช้อย แก่เฒ่าหนังยาน เอ็นใหญ่เก้าร้อย มันมาทำเข็ญใจ เมื่อยขบทั้งตัว นัยน์ตาก็มัว ดำแล้วกลับหงอก ดูน่าบัดสี จะนั่งก็โอย ไม่มีเกสร พึงสอนภาวนา พระอนัตตา รังแต่จะตาย ก็ตายเหมือนกัน มิติดตัวไป ฯ
ลูกเมียผัวรัก เขาเห็นซากผี หมู่ญาติพี่น้อง เขาวางลงไว้ แล้วคืนกลับมา ป่าไม้ชายเขียว เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงหมา ดูน่าสมเพช ฯ
เรี่ยรายแผ่นดิน เอาเป็นอาหาร ตื่นขึ้นมินาน พี่น้องเผ่าพันธุ์ จับเจ่าเรียงกัน ร้องแรกแหกขวัญ ร้องไห้หากัน ฯ
อย่าหลงนักเลย อุตส่าห์ทำบุญ จะได้ไปสวรรค์ จะได้เข้านิพพาน ฯ |