เมณฑกปัญหา วรรคที่หนึ่ง
๗. สัทธิมมอันตรธานปัญหา ๗
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรง ภาสิตพุทธพจน์แม้นี้ไว้แก่พระอานนทเถระว่า 'ดูก่อนอานนท์สัทธรรมจักตั้งอยู่ไดใน กาลต่อไป เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น, ดังนี้. ส่วนในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน สุภัท'ทปริ'พพา'ซก ทูลถามปริศนา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้วว่า 'ดูก่อนสุกัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้พีงปฏิบัติอยู่โดยชอบในกาลทั้งปวง, โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ ทั้งหลาย' ดังนี้อีก; พระพุทธพจน์นี้กล่าวกาลหาส่วนเหลือมิได้ ฯลฯ กล่าวกาลไม่มีส่วน เหลือ ฯลฯ กล่าวกาลไม่มีปริยาย. ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ตรัสแล้วว่า 'ดูก่อนอานนท์ใน กาลต่อไป พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย' ดังนี้ นั้นผิด. ถ้าพระตถาคตเจ้า ได้ตรัสแล้วว่า 'โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ดูก่อนอานนท์ในกาลต่อไป พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น' ดังนี้นั้นเป็นผิด. ปัญหาแม้นี้มืเงื่อนสอง เป็นชัฏยิ่งแม้กว่าชัฏโดยปกติ, มีกำลังยิ่งแม้กว่าปัญหาที่มืกำลังโดยปกติ, มีขอดยิ่งแม้ กว่าขอดโดยปกติ, ปัญหานั้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, พระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ดังมังกรไป แล้วในภายในแห่งสาคร แสดงความแผ่ไพศาลแห่งกำลังญาณของพระผู้เป็นเจ้าใน ปัญหานั้น."
พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรง ภาสิตพระพุทธพจน์แม้นี้แก่พระอานนทเถระแล้วว่า 'ดูก่อนอานนท์ในกาลต่อไป พระ สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น,ดังนี้. ส่วนในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน ได้ตรัส แล้วแก่สุภัททปริพพาชกว่า 'ดูก่อนสุภัท'ทะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้พีงปฏิบัติอยู่โดย ชอบ ในกาลทั้งปวงไซร้. โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย' ดังนี้. ก็ แหละ พระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระพุทธพจน์มีเนื้อความต่างกัน ด้วย มีพยัญชนะต่างกันด้วยแท้. ส่วนทั้งสอง คือ ส่วนพระพุทธพจน์นี้กำหนดศาสนา พระวาจานี้แสดงความปฏิบัติเหล่านั้น เว้นไกลกันและกัน.
ขอถวายพระพร มีอุปมาเหมือนฟ้าเว้นไกลแต่แผ่นดิน นรกเว้นไกลแต่สวรรค์ กุศลเว้นไกลแต่อกุศล สุขเว้นห่างไกลแต่ทุกข์ฉันใด ส่วนพระพุทธภาสิตทั้งหลายสอง เหล่านั้น เว้นห่างไกลจากกันและกัน มีอุปไมยฉันนั้นนั้นเทียวแล. เออก็ ปุจฉาของบรม บพิตรอย่าเป็นของเปล่าเลย, อาตมภาพจักเปรียบเทียบโดยรสแสดงแก่บรมบพิตร,
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพุทธพจ'นิใดว่า 'ดูก่อนอานนท์ในกาลต่อไป พระสัทธรรมจัก ตั้งอยู่ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น' ดังนี้. เมื่อพระองค์ตรัสพุทธพจน์นั้น ทรงแสดงกาลที่สิ้น ไป ทรงกำหนดกาลที่เหลือว่า 'ดูก่อนอานนท์ถ้านางภิกษุณีทั้งหลายไม1พึงบรรพชาไซร้ พระสัทธรรมจักพึงตั้งอยู่ได้หนึ่งพันปี, ดูก่อนอานนท์กาลต่อไปนี้ พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น.' เออก็ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ จะตรัสตาม อันตรธานแห่งพระสัทธรรมหรือ หรือทรงดัดด้านอภิสมัยความตรัสรู้ เป็นไฉน ? ขอ ถวายพระพร."
ร. "หามได้ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระบุกาลที่ฉิบหายไปแล้ว ทรง แสดงกาลที่เหลืออยู่ ทรงกำหนดแล้ว. เหมือนบุรุษมีของหาย หยิบกัณฑะที่เหลืออยู่ทั้งสิ้น แสดงแก่ประชุมชนว่า 'กัณฑะเท่านี้ของข้าพเจ้าหายไปแล้ว กัณฑะนี้เหลืออยู่' ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดงกาลที่ฉิบหายไปแล้ว ตรัสกาลที่เหลืออยู่แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายว่า 'ดูก่อน อานนท์กาลต่อไปนี้ พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น' ดังนี้. ก็พระพุทธ พจน์อันใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้วว่า 'ดูก่อนอานนท์กาลต่อไปนี้ พระ สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น' ดังนี้, พระพุทธพจน์นี้กำหนดศาสนกาล; ส่วนพระองค์ทรงระบุสมณะทั้งหลายตรัสพุทธพจ'นิใด แก่สุภัท'ทปริ'พพาชก1ว่า 'ดูก่อน สุกัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ พึงปฏิบัติอยู่โดยชอบ ในกาลทั้งปวง, โลกพึงเป็นของ ไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย'ดังนี้, พระวาจานั้นแสดงความปฏิป้ติ. ส่วนบรม พิตรมาทรงกระทำความกำหนดนั้นด้วยพระวาจาเครื่องแสดงนั้นด้วย ให้เป็นของมีรส เป็นอันเดียวกัน. ก็ถ้าว่าเป็นความพอพระหฤทัยของบรมบพิตรอาตมภาพจักกล่าว กระทำให้มีรสเป็นอันเดียวกัน, บรมบพิตรจงเป็นผู้มีพระหฤทัยไม่วิปริต ทรงสดับกระทำ ไวิในพระหฤทัยให้สำเร็จประโยชน์.
ขอถวายพระพร ถ้าในที่นี้ มีสระเต็มแล้วด้วยน้ำใหม่ใสสะอาด น้ำขึ้นเสมอ กำหนดเพียงขอบ, เมื่อสระนั้นยังไม่ทันแห้ง เมฆใหญ่เนื่องประพันธ์กันให้ฝนตกเติมซํ้า ๆ สงบนน้ำในสระนั้น, น้ำในสระนั้นพึงถึงความสิ้นไปและแห้งไปหรือเป็นไฉน?"
ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระ?"
ร. "เพราะความที่เมฆเป็นของเนื่องประพันธ์กันเป็นเหตุ น้ำในสระนั้นจึงไม่ถึง ความสิ้นไปแห้งไปซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร สระ คือ พระสัทธรรมในศาสนาอันประเสริฐ ของ พระพุทธเจ้าผู้ชนะมารทั้งปวง เต็มแล้วด้วยดีด้วยนํ้า'ใหม่ปราศจากมลทิน คือ อาจาระ และศีลคุณและวัตรปฏิบัติ น้ำปราศจากมลทินนั้นขึ้นไปท่วมที่สุดแห่งภพตั้งอยู่แล้ว ฉัน นั้นนั้นเทียวแล. ถ้าพระพุทธโอรสทั้งหลาย ยังฝนแห่งเมฆ คือ อาจาระและศีลคุณและ วัตรปฏิบํติ ให้เนื่องประพันธ์กัน ให้ตกเติมรํ่าไปในสระคือพระสัทธรรมนั้นไซร้, สระคือ พระสัทธรรมในศาสนาอันประเสริฐ ของพระชินพุทธเจ้านี้ พึงตั้งอยู่สิ้นกาลนานยืดยาว ได้, อนึ่ง โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้น, พระผู้มีพระภาค เจ้าทรงหมายเนื้อความนี้ ภาสิตแล้วว่า 'ดูก่อนสุภัท'ทะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ พึง ปฏิบํติอยู่โดยชอบในกาลทั้งปวง, โลกพึงเป็นของไม1ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้.
ขอถวายพระพร อนึ่ง ในที่นี้มีกองแห่งไฟใหญ่ ๆ โพลงอยู่, ชนทั้งหลายพึงนำ หญ้า และไม้ และโคมัยแห้งแล้วทั้งหลายเข้าไปเติมซํ้า ๆ ลงในกองไฟใหญ่นั้น, กองไฟ นั้นพึงดับไปหรือไฉน?"
ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า กองไฟนั้นพึงโพลงยิ่ง ๆ ขึ้นไป พึงสว่างยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
ถ. ขอถวายพระพร พระศาสนาอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ชนะแล้ว ย่อม ชัชวาลอยู่ในโลกธาตประมาณหมื่นหนึ่ง ทำโลกธาตุให้สว่างทั่วด้วยอาจาระ และศีล คุณ และวัตรปฏิบํติ. ก็ถ้าว่าพระพุทธโอรสทั้งหลาย มาตามพร้อมแล้วด้วยองค์ของ บุคคลผู้ตั้งความเพียร ห้าประการ พึงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วพากเพียรเนือง ๆ, พึงเป็นผู้ มีฉันทะเกิดแล้วศึกษาอยู่ในสิกขาสาม, พึงบำเพ็ญจารีตศีลและวารีตศีลให้บริบูรณ์ไม่ บกพร่องยิ่งกว่านั้นไซร้, พระชินศาสนาอันประเสริฐนี้พึงตั้งอยู่สิ้นกาลนานยืดยาวได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป, โลกพึงเป็นของไม1ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง หมายเนื้อความนี้ภาสิตแล้วว่า 'ดูก่อนสุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านื้ พึงปฏิบัติอยู่ โดยชอบ, โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย, ดังนี้. อนึ่ง ในโลกนี้ ชน ทั้งหลาย พึงขัดแว่นปราศจากมลทินสนิทเสมอ และขัดดีแล้ว กระจ่างด้วยดีด้วยจุรณ์ แห่งหรดาลอันละเอียดสุขุมเนือง ๆ, มลทินและเปือกตมละอองธุลีพึงเกิดขึ้นในแว่นนั้น ได้หรือไม่ ขอถวายพระพร ?"
ร. "หาไม่ พระผ้เป็นเจ้า แว่นนั้นพึงปราศจากมลทิน ผ่องใสวิเศษหนักขึ้นโดย
ถ. "ขอถวายพระพร แว่นนั้นพึงปราศจากมลทินผ่องใสวิเศษหนักขึ้น ฉันใด, ศาสนาอันประเสรฐของพระพุทธเจ้า ไม่มีมลทินโดยปกติปราศจากมลทินละอองธุลี คือ กิเลสแล้ว; ถ้าพระพุทธบุตรทั้งหลายพึงขูดเกลาพระศาสนาอันประเสรฐของ พระพุทธเจ้านั้น ด้วยอาจาระและศีลคุณ และวัตรปฏิบัติ และสัลเลขธรรม และธุดงคคุณ,ศาสนาอันประเสรฐของพระชนพุทธเจ้านิพงดังอยู่เด้สินกาลนานยดยาว,อนิง โลกพึงเป็นของไม1ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้นนั้นเทียว. พระผู้มีพระภาค เจ้าทรงมุ่งหมายเนื้อความนี้ทรงภาสิตแล้วว่า'ดูก่อนสุภัททะถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ พึงอยู่ คือ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่,โลกพึงเป็นของไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย' ดังนี้. พระศาสนาของพระบรมศาสดามีความปฏิบัติเป็นมูลราก มีความปฏิป้ติเป็นแก่น สาร เมื่อความปฏิป้ติยังไม่อันตรธานแล้ว พระพุทธศาสนาย่อมตั้งอยู่ได้."
ร. "พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าว 'สัทธรรมอันตรธาน' ว่า ดังนี้ สัทธรรม อันตรธานนั้นอย่างไร ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาเหล่านี้มีสามประการ, ความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาสามประการนี้อย่างไร? ความเสื่อมแห่ง พระพุทธศาสนาสามประการนี้ คือ: อธิคมอันตรธานความเสื่อมมรรคและผลที่บุคคล จะพึงได้พึงถึงหนึ่ง ปฏิปัตติอันตรธานความเสื่อมปฏิบัติหนึ่ง สิงคอันตรธาน ความเสื่อม เพศนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์หนึ่ง. เมื่ออธิคม คือ มรรคและผลที่บุคคลจะพึงได้พึงถึง อันตรธานเสื่อมสูญแล้ว แม้เมื่อบุคคลปฏิบัติดีแล้ว ไม่มีธรรมาภิสมัยความถึงพร้อม เฉพาะ คือ ความตรัสรู้ธรรม, เมื่อความปฏิบัติอันตรธานเสื่อมสูญแล้ว สิกขาบทบัญญํติ ก็อันตรธาน ยังเหลืออยู่แต่เพศนุ่งเหลืองอย่างเดียวเท่านั้น, เมื่อเพศนุ่งเหลืออันตรธาน แล้ว ก็ขาดประเพณี. อันตรธานสามประการดังพรรณานามานี้แล้ว ขอถวายพระพร."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ปัญหาลึกพระผู้เป็นเจ้ามากระทำให้ตื้น ให้ข้าพเจ้ารู้ แจ้งด้วยดีแล้ว, ขอดพระผู้เป็นเจ้าทำลายเสียแล้วปรัปปวาททั้งหบายพระผู้เป็นเจ้าหักรานให้ฉิบหายแล้ว กระทำให้เสื่อมรัศมีแล้ว, ปรัปปวาททั้งหลายมากระทำ พระผู้เป็น เจ้าผู้ประเสริฐกว่าคณาจารย์ผู้ประเสริฐ, พระผู้เป็นเจ้าหักรานปรัปปวาททั้งหลายเหล่านั้นให้หายเสื่อมสูญไปได้แล้ว."