เมณฑกปัญหา วรรคที่สอง

ก่อนหน้า

๔. มัจจุปาสามุตติกปัญหา ๑๔

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระพุทธพจน์นี้อันพระผู้มีพระ ภาคเจ้าแม้ทรงภาสิตแล้วว่า 'บุคคลตั้งอยู่ในอากาศ ไม่พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุ คือ ความตาย, บุคคลตั้งอยู่ในสมุทร ไม่พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุ, บุคคลเข้าไปสู่ช่องแห่ง ภูเขาทั้งหลายแล้ว ไม่พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุ, บุคคลตั้งอยู่ในประเทศแผ่นดินใด พึง พ้นจากบ่วงแห่งมัจจุได้ ประเทศแผ่นดินนั้นไม1มี, ดังนี้.

ส่วนปริตรทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงขึ้นแล้วอีก; ปริตรทั้งหลาย อย่างไรนี้? ปริตรทั้งหลาย คือ รตนสูตรหนึ่ง ขันธปริตรหนึ่ง โมรปริตรหนึ่ง ธขัคคปริตร หนึ่ง อาฏานาฏิยปริตรหนึ่ง อังคุลามาลปริตรหนึ่ง. ถ้าว่าบุคคล แม้ไปในอากาศแล้ว แม้' ไปในท่ามกลางแห่งสมุทรแล้ว แม้ไปในปราสาท และกุฎี และที่เป็นที่เร้น และถํ้า และ เงื้อมเขา และซอกเขา และปล่อง และช่องเขา และระหว่างภูเขาย่อมไม่พ้นจากบ่วงแห่ง มัจจุได้, ถ้าอย่างนั้น ความกระทำปริตรเป็นผิด. ถ้าว่าความพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุได้ ด้วยความกระทำปริตรย่อมมีไซร้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'บุคคลตั้งอยู่แล้วในอากาศ ตั้งอยู่แล้วในทำมกลางแห่งสมุทร เข้าไปสู่ช่องแห่งภูเขาทั้งหลายแล้ว ไม่พึงพ้นจากบ่วง แห่งมัจจุ, บุคคลตั้งอยู่แล้วในประเทศแผ่นดินใด พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุได้ ประเทศ แห่งแผ่นดินนั้น ย่อมไม่มี, ดังนี้ แม้นั้นก็เป็นผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มีขอดยิ่งกว่าขอด โดยปกติ มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, ปัญหานั้น พระผู้เป็นเจ้าพึงแก้ไขให้จะแจ้งเถิด."

พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ได้ทรงภาสิตพระ พุทธพจน์นี้ว่า 'บุคคลตั้งอยู่แล้วในอากาศ พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุไม่ได้, บุคคลตั้งอยู่ แล้วในทำมกลางแห่งสมุทร พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุไม่ได้, บุคคลเข้าไปแล้วสู่ช่องแห่ง ภูเขาทั้งหลาย พึงพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุไม่ได้, บุคคลตั้งอยู่ในประเทศแผ่นดินใด พึงพ้น จากบ่วงแห่งมัจจุ'ได้ ประเทศแผ่นดินนั้นย่อมไม่มี' ดังนี้. อนึ่งปริตรทั้งหลาย พระผู้มีพระ ภาคเจ้าได้ทรงยกขึ้นแสดงแล้ว. ก็แหละความยกปริตรขึ้นแสดงนั้น พระองค์ทรงกระทำ เพื่อบุคคลมีอายุยังเหลืออยู่ เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัย มีกรรมเครื่องห้ามกันไป ปราศจากสันดานแล้ว, ความกระทำหรือ หรือความพากเพียรเพื่อความตั้งมั่นของ บุคคลผู้สิ้นอายุแล้วย่อมไม่มี, เหมือนต้นไม้ตายแล้ว แห้งแล้วผุไม่มียาง มีความเป็น อันตรายนั้นแล้ว มีอายุสังขารไปแล้ว เมื่อบุคคลพรมน้ำแม้สักพันหม้อ ความเป็นของชุ่ม หรือ หรือความเป็นไม้มีใบอ่อน และเป็นของเขียวของต้นไม้นั้นไม่พึงมี ฉันใด, ความ กระทำหรือความเพียรด้วยเภสัช และความกระทำปริตรเพื่อความตั้งมั่นแห่งบุคคลผู้สิ้น อายุแล้ว ไม่มี. โอสถและยาทั้งหลายในแผ่นดินเหล่าใดนั้น แม้ยาทั้งหลายเหล่านั้น เป็น ของไม่กระทำกิจของบุคคลผู้สิ้นอายุแล้วปริตรย่อมรักษาคุ้มครองได้แต่บุคคลผู้มีอายุ ยังเหลืออยู่ ถึงพร้อมแล้วด้วยวัยปราศจากกรรมเครื่องห้ามแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงปริตรทั้งหลายขึ้นแล้ว เพื่อประโยชน์แก่บุคคลมีอายุยังเหลืออยู่. เปรียบ เหมือนชาวนา เมื่อข้าวเปลือกสุกแล้ว เมื่อซังข้าวตายแล้ว พึงนั้นน้ำไม่ให้เข้าไปในนา, แต่ข้าวกล้าใด ที่ยังอ่อนอาศัยเมฆ ถึงพร้อมแล้วด้วยวัย ข้าวกล้านั้น ย่อมเจริญโดย ความเจริญด้วยน้ำ ฉันใด, เภสัชและความกระทำปริตร เพื่อบุคคลผู้สิ้นอายุแล้ว พระองค์ยกห้ามแล้ว, ก็แต่ว่า มนุษย์ทั้งหลายเหล่าใดนั้น เป็นผู้มีอายุยังเหลืออยู่ ยังถึงพร้อมด้วยวัยอยู่ พระองค์ตรัสปริตรและยาทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เหล่านั้น, มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เจริญอยู่ด้วยปริตรและเภสัชทั้งหลาย ขอถวายพระพร."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ถ้าบุคคลสิ้นอายุแล้ว ย่อมตาย บุคคลที่ยังมีอายุเหลืออยู่ ย่อมเป็นอยู่, ถ้าอย่างนั้น ปริตรและเภสัชทั้งหลายเป็นของไม่มีประโยชน์น่ะซิ."

ถ. "ขอถวายพระพร ก็บรมบพิตรเคยทอดพระเนตรเห็นโรคอะไร ๆ ที่คืนคลาย ไป เพราะเภสัชทั้งหลายบ้างหรือไม่?"

ร. "เคยเห็นซิ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นมาหลายร้อยแล้ว."

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ความทำปริตรและเภสัชหาประโยชน์ มิได้, ดังนี้นั้น ย่อมเป็นคำผิด."

ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ความดื่มและชะโลมยาทั้งหลายเพราะความเพียร ของหมอทั้งหลายปรากฏอยู่, โรคคืนคลายเพราะความเพียรนั้นของหมอทั้งหลาย เหล่านั้น."

ถ. "ขอถวายพระพร แม้เสียงของบุคคลทั้งหลาย เมื่อยังปริตรทั้งหลายให้ เป็นไปอยู่ คือ สวดปริตรอยู่ ชนทั้งหลายอื่นย่อมได้ยินอยู่, ซิวหาของบุคคลผู้สวดปริตร เหล่านั้นย่อมแห้ง ใจย่อมวิงเวียน คอย่อมแหบ; พยาธิทั้งปวงย่อมระงับไป ความจัญไร ทั้งหลายทั้งปวงย่อมปราศจากไป ด้วยความเป็นไปแห่งปริตรทั้งหลายเหล่านั้น ๆ. บรม บพิตรเคยทอดพระเนตรเห็นแล้วหรือ ใครๆที่อสรพิษกัดแล้วผู้มีวิชชาปริตรขับพิษ ขจัดปัดเปาพิษให้เสื่อมคลาย มีชีวิตรอดอยู่ได้."

ร. "อย่างนั้นซิ พระผู้เป็นเจ้า ข้อนั้นย่อมเป็นไปในโลก แม้ในทุกวันนี้."

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ความกระทำปริตรและเภสัชหา ประโยชน์มิได้' ดังนี้นั้นผิด. เพราะอสรพิษใคร่จะกัด ก็กัดบุรุษผู้กระทำปริตรแล้วไม1ได้, ปากของอสรพิษที่อ้าขึ้นแล้วย่อมหุบลง, แม้ตะบองที่โจรทั้งหลายเงื้อขึ้นแล้ว ย่อมตีไม่ ลง, โจรทั้งหลายเหล่านั้นปล่อยตะบองเสีย กระทำความรักใคร่, คชสารประเสริฐ แม้ โกรธแล้วเข้ามาใกล้แล้ว กลับยินดี, กองไฟใหญ่โพลงขัชวาลแล้วเข้ามาใกล้แล้วดับไป, ยาพิษแรงกล้าอันบุรุษผู้กระทำปริตรนั้นเคี้ยวแล้วกลับกลายเป็นยาบำบัดโรคไปบ้าง แผ่ไปเพื่ออาหารกิจบ้าง, ข้าศึกทั้งหลายใคร่จะฆ่า ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว กลับยอมตัวเป็น ทาส, บ่วงแม้บุรุษผู้กระทำปริตรนั้นเหยียบแล้ว ย่อมไม่รูด. อนึ่ง บรมบพิตรเคยทรงสดับ แล้วหรือ เมื่อนกยูงกระทำปริตรอยู่ พรานนกไม่อาจเพื่อจะนำบ่วงเข้าไปใกล้นกยูงนั้น ถึงเจ็ดร้อยปี, มาวันหนึ่ง นกยูงนั้นประมาทไปหาได้กระทำปริตรไม่ พรานนกจึงได้นำ บ่วงเข้าไปใกล้นกยูงนั้นได้ในวันนั้น."

ร. "ข้าพเจ้าเคยได้ฟังซิ กิตติศัพท์นั้นฟังทั้งไปในโลกทั้งเทวดา.,,

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ความกระทำปริตรและเภสัชหา ประโยชน์มิได้, ดังนี้นั้นเป็นผิด. อนึ่ง บรมบพิตรเคยทรงสดับแล้วหรือ ทานพ (อสูรบุตร ของอสูรมารดาชื่อ ทนุ) เมื่อจะรักษาภริยา เก็บภริยาไว่ในผอบแล้วกลืนผอบเข้าไว่ใน ท้อง บริหารรักษาด้วยท้อง, ครั้งนั้นวิทยาธรเข้าไปทางปากของทานพนั้น อภิรมย์กับ ด้วยภริยาของทานพนั้น, ในกาลที่ทานพนั้นได้รู้แล้ว ได้คายผอบนั้นออกเปิดดู, ขณะ เปิดผอบนั้นวิทยาธรหลีกหนีไปได้ตามความปรารถนา."

ร. "ข้าพเจ้าเคยได้ฟังซิ พระผู้เป็นเจ้า แม้กิตติศัพท์นั้นฟังทั่วไปในโลกกับทั้งเทวดา."

ถ. "ขอถวายพระพร วิทยาธรนั้นพ้นแล้วจากการจับไป ด้วยกำลังแห่งปริตร ไม่ใช่หรือ?"

ร. "อย่างนั้นซิ พระผู้เป็นเจ้า."

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น กำลังแห่งปริตรมีอยู่."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ปริตรรักษาชนทั้งหลายปวงทั่วไปหรือ?"

ถ. "ขอถวายพระพร ปริตรรักษาชนทั้งหลายบางจำพวก ไม่รักษาคนทั้งหลาย บางจำพวก."

ร. "ถ้าอย่างนั้น ปริตรไม่เป็นประโยชน์แก่ชนทั้งหลายทั้งปวงทั่วไปนั่นซิ พระผู้ เป็นเจ้า."

ถ. "ขอถวายพระพร โภชนะย่อมรักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงหรือหนอแล?"

ร. "โภชนะย่อมรักษาชนทั้งหลายบางพวก ไม่รักษาชนทั้งหลายบางพวก."

ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ณ กาลใด ชนทั้งหลายบางพวกบริโภคโภชนาหารนั้นมากเกิน ประมาณ ย่อมจุกตาย ในกาลนั้น. เพราะเหตุนั้น จึงว่า 'โภชนะรักษาชนทั้งหลายบาง พวก ไม่รักษาชนทั้งหลายบางพวก."

ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น โภชนะไม1รักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั่วไป."

ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน โภชนะย่อมนำ คือทอนชีวิตสัตว์ทั้งหลายด้วยเหตุ สองอย่าง คือ ความบริโภคมากเกินอย่างหนึ่ง, คือ ความที่สัตว์ผู้บริโภคนั้นมีธาตุไฟ หย่อนหนึ่ง; โภชนะเป็นของให้อายุแก่สัตว์ทั้งหลาย มานำไป คือ ทอนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย เพราะความบำรุงไม่ดี."

ถ. "ขอถวายพระพร ปริตรย่อมรักษาชนทั้งหลายบางพวกย่อมไม่รักษาชน ทั้งหลายบางพวก ฉันนั้นนั่นเทียว.

ขอถวายพระพร ปริตรรักษาไว้ไม่ได้ ด้วยเหตุสามอย่าง คือ ก้มม1วรณ กรรม เป็นเครื่องนั้นหนึ่ง, กิเลสาวรณ กิเลสเป็นเครื่องนั้นหนึ่ง, อสัททหนตา ความไม่เชื่อถือ ปริตรนั้นให้นั่นคงหนึ่ง. ปรตรเป็นเครื่องตามรักษาสัตว์ ละการรักษาเสีย เพราะเหตุ เครื่องนั้นซึ่งสัตว์ทั้งหลายกระทำแล้วด้วยตน. อุปมาเหมือนมารดาเลี้ยงบุตรที่เกิดใน ครรภ์อุ้มทรงครรภ์มาจนคลอด ด้วยเครื่องบำรุงเป็นประโยชน์เกื้อกูล, ครั้นคลอดแล้ว นำของไม่สะอาด และมลทิน และน้ำมูก เสียจากอวัยวะชำระให้หมดจด ฉาบทาสุคนธ์ อันอุดมประเสริฐ, เมื่อบุคคลอื่นด่าอยู่หรือตีอยู่ มารดามืหฤทัยหวั่นไหว ฉุดจูงไปหาเจ้า บ้าน; ถ้าบุตรของมารดานั้นเป็นผู้มืโทษผิดล่วงเขตแดน, เมื่อเป็นเช่นนั้น มารดานั้นย่อ มติย่อมโบยบุตรนั้นด้วยท่อนไม้ และตะบอง และเข่า และกำมือทั้งหลาย; มารดาของ บุตรนั้นได้เพื่อจะกระทำความฉุดมาฉุดไป และความจับและจูงไปหาเจ้าบ้านหรือเป็น ไฉน?"

ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า."

ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร."

ร. "เพราะโทษผิดของบุตรนั้นกระทำแล้วเองนะซิ."

ถ. "ขอถวายพระพร มารดามิอาจรักษาป้องก้นบุตรนั้นไว้ได้ เพราะโทษที่บุตร นั้นกระทำผิดเอง ฉันใด, ปริตรเป็นเครื่องรักษาสัตว์ทั้งหลาย กระทำความรักษาสัตว์ ทั้งหลายไว้ไม่ได้ เพราะโทษผิดที่สัตว์ทั้งหลายกระทำด้วยตน ฉันนั้นนั่นเทียวแล."

ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน คืละ ปัญหาพระผู้เป็นเจ้าวินิจฉัยคืแล้ว, ชัฏพระผู้ เป็นเจ้ากระทำไม่ให้เป็นชัฏแล้ว, มืดพระผู้เป็นเจ้ากระทำให้เป็นแสงสว่างแล้ว, ร่างข่าย คือทิฐิมากระทบพระผู้เป็นเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเจ้าคณะผู้ประเสริฐแล้ว คลี่คลายไปแล้ว."

อ่านต่อ