เมณฑกปัญหา วรรคที่หนึ่ง

ก่อนหน้า

๑. วัชฌาวัชฌปัญหา ๑

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ ครั้นได้โอกาสที่พระเถรเจ้าถวายแล้ว ดังนั้น ทรงถวายนมัสการแทบบาทแห่งพระอาจารย์แล้ว ประณมพระหัตถ์ ตรัสว่าดังนี้'พระผู้เป็นเจ้า เดียรถีย์เหล่านี้พูดอยู่ว่า 'ถ้าพระพุทธเจ้าทรงยินดีบูชาอยู่ ได้ชื่อว่าไม่ปรินิพพานแล้ว ยังเกี่ยวข้องด้วยโลกอยู่ ยังเป็นผู้จะต้องเวียนอยู่ในภายในแห่งพิภพ เสมอสัตว์โลกในโลก, เหตุนั้น การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระพุทธเจ้านั้น ย่อมเป็นหมันไม่มีผล, ถ้าพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยโลก ออกไปจากภพทั้งปวงแล้ว การบูชาพระองค์หาควรไม่ เพราะท่านผู้ปรินิพพานแล้ว ย่อมไม่ยินดีอะไร การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแก่ท่านผู้ไม่ยินดีอะไร ย่อมเป็นหมันไม่มีผลเหมือนกัน, ดังนี้. นี่ปัญหาสองเงื่อน ไม่เป็นวิสัยของคนผู้ไม่ได้บรรลุพระอรหัตต์ เป็นวิสัยของท่านผู้ใหญ่เท่านั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายข่าย คือทิฏฐิเสีย ตั้งไว้ในส่วนอันเดียว, นี่ปัญหามาถึงพระผู้เป็นเจ้าเข้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้ดวงจักษุแก่พุทธโอรสทั้งหลาย อันมีในอนาคตกาลไว้สำหรับข่มถ้อยคำแห่งผู้อื่น.''

พระเถรเจ้าถวายพระพรว่า ''ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว และไม่ทรงยินดีบูชา, ความยินดีพระตถาคตเจ้าทรงละเสียได้แล้วที่ควงพระศรีมหาโพธิ์, จักกล่าวอะไรถึงเมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุเล่า. ข้อนี้มีที่อ้างให้เห็นจริง คำนี้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้ากล่าวว่า ''พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น ทรงพระคุณเสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ หมู่มนุษย์พร้อมทั้งหมู่เทวดาพากันบูชา พระองค์ไม่ทรงยินดีสักการบูชา, นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังนี้.''

ร. ''พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาบุตรย่อมกล่าวยกคุณบิดาบ้าง บิดาย่อมกล่าวยกคุณบุตรบ้าง, ข้อนี้ไม่ใช่เหตุสำหรับข่มวาทะผู้อื่น, ข้อนี้ชื่อว่าเป็นเครื่องประกาศความเลื่อมใส, ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้ากล่าวเหตุในข้อปัญหานั้นให้ชอบ เพื่อแก้ข่าย คือทิฏฐิออกเสีย เพื่อตั้งวาทะของตนไว้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว และพระองค์มิได้ทรงยินดีบูชา, เทวดามนุษย์ทั้งหลายกระทำรัตน คือพระธาตุของพระตถาคตเจ้า ผู้ไม่ยินดีโดยแท้ให้เป็นที่ตั้งแล้ว เสพสัมมาปฏิบัติด้วยอารมณ์อันมุ่งอยู่ในรัตน คือพระญาณของพระตถาคตเจ้า ย่อมได้สมบัติสามประการ, เหมือนอย่างว่า กองไฟใหญ่ลุกโพลงแล้วจะดับไป, กองไฟนั้นยินดีเชื้อ คือหญ้าและไม้บ้างหรือ ขอถวายพระพร.''

ร. ''กองไฟใหญ่ ถึงกำลังลุกอยู่ ก็ย่อมไม่ยินดีเชื้อ คือหญ้าและไม้, ก็กองไฟใหญ่นั้นดับสงบแล้ว หาเจตนามิได้ จักยินดีด้วยเหตุอะไรเล่า พระผู้เป็นเจ้า ?''

ถ. ''ก็เมื่อกองไฟนั้นดับสงบแล้ว ไฟในโลกชื่อว่าสูญหรือ ขอถวายพระพร ?''

ร. ''หาเป็นดังนั้นไม่ ไม้เป็นวัตถุเป็นเชื้อของไฟ. มนุษย์จำพวกไหนต้องการไฟ เขาสีไม้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังพยายาม ด้วยความกระทำของบุรุษเฉพาะตัวของเขาแล้ว ยังไฟให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมกระทำกิจที่จะต้องกระทำด้วยไฟได้ด้วยไฟนั้น.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น คำของพวกเดียรถีย์ว่า 'การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแก่ท่านผู้ไม่ยินดีอะไร ย่อมเป็นหมันไม่มีผล, ดังนี้ ย่อมเป็นผิด.

ขอถวายพระพร กองไฟใหญ่ลุกโพลงอยู่ ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง รุ่งเรืองอยู่ในหมื่นโลกธาตุด้วยพระพุทธสิริ ก็ฉันนั้น; กองไฟใหญ่นั้น ครั้นลุกโพลงแล้วก็ดับไป ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงรุ่งเรืองในหมื่นโลกธาตุ ด้วยพระพุทธสิริแล้ว เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ฉันนั้น; กองไฟที่ดับแล้วไม่ยินดีเชื้อ คือหญ้าและไม้ ฉันใด, การยินดีเกื้อกูลของโลก พระองค์ละเสียแล้ว สงบแล้ว ก็ฉันนั้น;
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อกองไฟดับแล้วไม่มีเชื้อ สีไม้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังพยายามด้วยความกระทำของบุรุษเฉพาะตัวของเขาแล้ว ยังไฟให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมกระทำกิจที่จะต้องกระทำด้วยไฟได้ด้วยไฟนั้น ฉันใด; เทวดามนุษย์ทั้งหลาย กระทำรัตน คือ พระธาตุของพระตถาคตเจ้าผู้ไม่ยินดีโดยแท้ให้เป็นที่ตั้งแล้ว เสพสัมมาปฏิบัติ ด้วยอารมณ์อันมุ่งอยู่ในรัตน คือพระญาณ ของพระตถาคตเจ้า ย่อมได้สมบัติสามประการ ก็ฉันนั้น.

ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ จึงชื่อว่า มีผลไม่เป็นหมัน.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นยิ่งขึ้นเป็นเครื่องให้เห็นว่า การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ มีผลไม่เป็นหมัน: เหมือนอย่างว่า พายุใหญ่พัดแล้วจะสงบไป, ลมที่สงบไปแล้วนั้น ยินดีการให้เกิดอีกบ้างหรือขอถวายพระพร ?''

ร. ''หามิได้ ความคำนึงก็ดี ความกระทำในใจก็ดี ของลมที่สงบไปแล้ว เพื่อการกระทำให้เกิดอีก ไม่มี, เหตุอะไรเล่า เหตุว่าวาโยธาตุนั้นไม่มีเจตนา.''

ถ. ''เออก็ ชื่อของลมที่สงบไปแล้วนั้นว่า 'ลม' ดังนี้ ยังเป็นไปบ้างหรือ ขอถวายพระพร ?''

ร. ''หามิได้'' พัดใบตาลและพัดโบกเป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งลม, มนุษย์จำพวกไหน ต้องร้อนเผาแล้ว ต้องความกระวนกระวายบีบคั้นแล้ว เขายังลมให้เกิดขึ้น ด้วยพัดใบตาลหรือด้วยพัดโบกตามกำลังเรี่ยวแรงพยายาม ตามความกระทำของบุรุษเฉพาะตัวของเขาแล้ว ยังความร้อนให้ดับ ยังความกระวนกระวายให้สงบ ด้วยลมนั้น.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น คำของพวกเดียรถีย์ว่า 'การบูชาที่ ทายกกระทำแล้วแก่ท่านผู้ไม่ยินดีอะไร ย่อมเป็นหมันไม่มีผล, ดังนี้ ย่อมเป็น ผิด.

ขอถวายพระพร พายุใหญ่พัดแล้ว ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระพือในหมื่นโลกธาตุ ด้วยลม คือ พระเมตตาอันเย็นชื่นใจละเอียดสุขุมแล้ว ก็ฉันนั้น;

พายุใหญ่ครั้นพัดแล้ว สงบไปแล้วฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงกระพือในหมื่นโลกธาตุ ด้วยลม คือ พระเมตตาอันเย็นชื่นใจละเอียดสุขุมแล้ว เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ฉันนั้น;

ลมอันสงบไปแล้ว ย่อมไม่ยินดีความให้เกิดขึ้นอีกฉันใด การยินดีเกื้อกูลของโลก พระองค์ละเสียแล้ว สงบแล้ว ก็ฉันนั้น;

มนุษย์ทั้งหลายนั้น ต้องร้อนเผาแล้ว ต้องความกระวนกระวายบีบคั้นแล้ว ฉันใด, เทวดามนุษย์ทั้งหลาย ต้องความร้อนกระวนกระวายเหตุไฟสามประการบีบคั้นแล้ว ก็ฉันนั้น;

พัดใบตาลและพัดโบกเป็นปัจจัยเพื่อความเกิดแห่งลม ฉันใด, พระธาตุและพระญาณรัตนของพระตถาคตเจ้าเป็นปัจจัย เพื่อความได้สมบัติสามประการ ก็ฉันนั้น;

มนุษย์ทั้งหลาย ต้องร้อนเผาแล้ว ต้องความกระวนกระวายบีบคั้นแล้ว ยังลมให้เกิดขึ้นด้วยพัดใบตาลหรือด้วยพัดโบกแล้ว ยังความร้อนให้ตับ ยังความกระวนกระวายให้สงบด้วยลมนั้น ฉันใด, เทวดามนุษย์ทั้งหลาย บูชาพระธาตุและ พระญาณรัตนของพระตถาคตเจ้า ผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีโดยแท้แล้ว ยังกุศลให้เกิดขึ้นแล้ว ยังความร้อนความกระวนกระวายเหตุไฟสามประการให้ดับ ให้สงบด้วยกุศลนั้นฉันนั้น.

ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ จึงชื่อว่า มีผลไม่เป็นหมัน.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นอีกให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อข่มวาทะผู้อื่นเสีย: เหมือนอย่างว่า บุรุษตีกลองยังเสียงให้เกิดขึ้น และเสียงกลองอันบุรุษให้เกิดขึ้นนั้น แล้วก็อันตรธานหายไป, เออก็เสียงนั้นยินดีความให้เกิดขึ้นอีกบ้างหรือ ขอถวายพระพร.''

ร. ''หามิได้ เสียงนั้นอันตรธานไปแล้ว, ความคำนึงก็ดี ความกระทำในใจก็ดีของเสียงนั้น เพื่ออันเกิดขึ้นอีกมิได้มี, ครั้นเมื่อเสียงกลองเกิดขึ้นคราวเดียวแล้ว อันตรธานไปแล้ว เสียงกลองนั้นก็ขาดสูญไป, ส่วนกลองเป็นปัจจัย เพื่อความเกิดขึ้นแห่งเสียง, ครั้นเมื่อเป็นอย่างนั้น บุรุษเมื่อปัจจัยมีอยู่ ตีกลองด้วยพยายามอันเกิดแต่ตนแล้ว ยังเสียงให้เกิดขึ้นได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตั้งพระธาตุรัตนอันพระองค์อบรมแล้วด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ กับพระธรรมวินัยคำสอน ให้เป็นต่างพระศาสดาแล้ว ส่วนพระองค์เสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ความได้สมบัติขาดสูญไปตามแล้วก็หาไม่, สัตว์ทั้งหลายต้องทุกข์ในภพ บีบคั้นแล้วกระทำพระธาตุรัตนกับพระธรรมวินัยคำสอนให้เป็นปัจจัย แล้วอยากได้สมบัติ ก็ย่อมได้ฉันเดียวกัน.

ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ จึงชื่อว่า มีผลไม่เป็นหมัน.

ขอถวายพระพร ข้อนี้พระผู้มีพระภาค เจ้าทรงเห็นและตรัสบอกล่วงหน้าไว้นานแล้วว่า ''อานนท์ สักหน่อยความวิตกจะมีแก่ท่านทั้งหลายว่า 'พระศาสนามีพระศาสดาล่วงไปเสียแล้ว พระศาสดา ของเราทั้งหลายไม่มี, ดังนี้, ข้อนี้ท่านทั้งหลายอย่าเห็นไปอย่างนั้น, ธรรมและวินัยอันเราแสดงแล้วและบัญญัติแล้ว แก่ท่านทั้งหลายโดยกาลที่ล่วงไปแล้วแห่งเรา จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายแทน'' ดังนี้.

คำของพวกเดียรถีย์ ว่า 'การบูชาที่ทายกกระท่าแล้วแด่พระตถาคตผู้ปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่ เป็นหมันไม่มีผล' ดังนี้นั้นผิด ไม่จริง เท็จ สับปลับ พิรุธ วิปริต ให้ทุกข์เป็นผล มีทุกข์เป็นวิบาก ยังผู้พูดและผู้เชื่อถือให้ไปสู่อบาย.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นให้ยิ่งขึ้นไป เป็นเครื่องให้เห็นว่า 'การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ มีผลไม่เป็นหมัน: มหาปฐพีนี้ยินดีบ้างหรือหนอแลว่า 'ขอสรรพพืชจงงอกขนบนเรา' ดังนี้.''

ร. ''หามิได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ก็เหตุไฉนพืชทั้งหลายเหล่านั้น งอกขึ้นบนมหาปฐพีอันไม่ยินดีอยู่แล้ว ตั้งมั่นด้วยรากอันรึงรัดกันแน่นแข็งแรงด้วยแกนในลำต้นและกิ่ง ทรงดอกออกผลเล่า ?''

ร. ''มหาปฐพีแม้ไม่ยินดีอยู่ ก็เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งพืชทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมให้ปัจจัยเพื่องอกขึ้น, พืชทั้งหลายนั้นอาศัยมหาปฐพีนั้นเป็นวัตถุแล้ว งอกขึ้นด้วยปัจจัยนั้นแล้ว ตั้งมั่นด้วยรากอันรึงรัดกันแน่น แข็งแรงด้วยแก่นในลำต้นและกิ่งทรงดอกออกผลได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น พวกเดียรถีย์ฉิบหาย ต้องถูกกำจัด เป็นพิรุธในถ้อยคำของตัว, ถ้าเขาขืนกล่าวว่า 'การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแก่ท่านผู้ไม่ยินดี เป็นหมันไม่มีผล' ดังนี้. ขอถวายพระพร มหาปฐพีนี้ ฉันใด, พระตถาคตอรหันตสัมมาส้มพุทธเจ้า ก็ฉันนั้น; มหาปฐพีไม่ยินดีอะไร ๆ ฉันใด, พระตถาคตเจ้าไม่ทรงยินดีอะไรๆ ก็ฉันนั้น; พืชเหล่านั้นอาศัยปฐพี งอกขึ้นแล้ว ตั้งมั่นด้วยรากอันรึงรัดกันแน่นแข็งแรงด้วยแก่นในลำต้นและกิ่ง ทรงดอกออกผลได้ฉันใด, เทวดามนุษย์ทั้งหลาย อาศัยพระธาตุและพระญาณรัตนของพระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ ตั้งมั่นด้วยกุศลมูลอันแน่นหนาแล้ว แข็งแรงด้วยแก่นคือพระธรรม ในลำต้นคือสมาธิ และกิ่งคือศีล ทรงดอกคือวิมุตติ ออกผลคือสามัญผล ก็ฉันนั้น. ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ จึงชื่อว่า มีผลไม่เป็นหมันแล.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นอีกให้ยิ่งขึ้นไป เป็นเครื่องให้เห็นว่า การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ มีผลไม่เป็นหมัน: สัตว์ที่เขาเลี้ยง คือ อูฐ โค ลา แพะ และหมู่มนุษย์เหล่านี้ ยินดีให้หมู่หนอนเกิดในท้องบ้างหรือ ขอถวายพระ.''

ร. ''หามิได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ก็เหตุไฉน หนอนเหล่านั้นจึงเกิดในท้องของมนุษย์ และดิรัจฉานเหล่านั้นผู้ไม่ยินดีอยู่แล้ว มีลูกหลานเป็นอันมาก ถึงความไพบูลย์ขึ้นเล่า ?''

ร. ''เพราะบาปกรรมมีกำลังซิพระผู้เป็นเจ้า ถึงสัตว์เหล่านั้นไม่ยินดีอยู่ หมู่หนอนเกิดขึ้นภายในท้องแล้ว มีลูกหลานมาก ถึงความไพบูลย์ขึ้น.''

ถ. ''เพราะพระธาตุและพระญาณรัตนของพระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้มีกำลัง การบูชาที่ทายกกระทำแล้วในพระตถาคตเจ้า จึงมีผลไม่เป็นหมัน ฉันเดียวกันแล ขอถวายพระพร.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นอีกให้ยิ่งขึ้นไปอีก เป็นเครื่องให้เห็นว่า การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ มีผลไม่เป็นหมัน: หมู่มนุษย์เหล่านี้ยินดีอยู่ว่า 'ขอโรคเก้าสิบแปดเหล่านี้จงเกิดในกายเถิด' ดังนี้ บ้างหรือ ขอถวายพระพร.''

ร. ''หามิได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ก็เหตุไฉน โรคเหล่านั้นจึงเกิดในกายของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ยินดีอยู่เล่า ?''

''ขอถวายพระพร ถ้าว่าอกุศลที่เขากระทำไว้ในกาลก่อนเป็นกรรมที่จะต้องเสวยในภพนี้, ถ้าอย่างนั้น กุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี ที่เขากระทำไว้แล้วในภพก่อนก็ดี ในภพนี้ก็ดี ย่อมมีผลไม่เป็นหมัน.

ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้ว แด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ ย่อมมีผลไม่เป็นหมัน.

ขอถวายพระพร พระองค์ได้เคยทรงสดับบ้างหรือว่านันทกยักษ์ประทุษร้ายพระสารีบุตรเถรเจ้าแล้ว เข้าไปสู่แผ่นดินแล้ว.''

ร. ''ข้าพเจ้าเคยได้ฟัง เรื่องนี้ปรากฏแล้วในโลก.''

ถ. ''เออก็ พระสารีบุตรเถรเจ้ายินดีการที่มหาปฐพีกลืนนันทกยักษ์เข้าไปไว้ด้วยหรือ ขอถวายพระพร.''

ร. ''แม้โลกนี้กับทั้งเทวโลกเพิกถอนไปอยู่ แม้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ตกลงมาที่แผ่นดินอยู่ แม้พญาเขาสิเนรุบรรพตแตกกระจายอยู่ พระสารีบุตรเถรเจ้าก็ไม่ยินดีทุกข์ของผู้อื่น,ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร?

เป็นเพราะเหตุเครื่องที่พระสารีบุตรเถรเจ้าจะโกรธก็ดี จะประทุษร้ายก็ดี ท่านถอนเสียแล้ว ท่านตัดขาดเสียแล้ว, เพราะท่านถอนเหตุเสียได้แล้ว พระสารีบุตรเถรเจ้าไม่พึงกระทำความโกรธ แม้ในผู้จะผลาญชีวิตของท่านเสีย.''

ถ. ''ถ้าว่า พระสารีบุตรเถรเจ้าไม่ยินดีการที่มหาปฐพีกลืนนันทกยักษ์เข้าไปไว้แล้ว เหตุไฉน นันทกยักษ์จึงได้เข้าไปสู่แผ่นดินเล่าขอถวายพระพร ?''

ร. ''เพราะเหตุอกุศลกรรมเป็นโทษมีกำลังนะซิ.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ถ้าหากนันทกยักษ์เข้าไปสู่แผ่นดินแล้ว เพราะอกุศลกรรมเป็นโทษแรง, ความผิดที่เขากระทำแล้วต่อท่านผู้ไม่ยินดีอยู่ ก็มีผลไม่เป็นหมัน, ถ้าอย่างนั้น การบูชาที่ทายกระทำแล้วแก่ท่านผู้ไม่ยินดีอยู่ ก็ย่อมมีผลไม่เป็นหมัน เพราะกุศลกรรมเป็นคุณแรงกล้า.

ขอถวายพระพร แม้เพราะเหตุนี้ การบูชาที่ทายกกระทำแล้วแด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ ย่อมมีผลไม่เป็นหมัน.

ขอถวายพระพร เดี๋ยวนี้มนุษย์ผู้เข้าไปสู่แผ่นดินมีผลเท่าไรแล้ว, พระองค์ได้เคยสดับเรื่องนี้บ้างหรือ ?''

ร. ''เคยได้ฟัง''

ถ. ''ขอถวายพระพร เชิญพระองค์ตรัสให้อาตมภาพฟัง.''

ร. ''ข้าพเจ้าได้ฟังว่า มนุษย์ผู้เข้าไปสู่แผ่นดินแล้วนี้ห้าคน คือ : นางจิญจมาณวิกาหนึ่ง สุปปพุทธะสักกะหนึ่ง เทวทัตตเถระหนึ่ง นันทกยักษ์หนึ่ง นันทมาณพหนึ่ง.''

ถ. ''เขาผิดในใคร ขอถวายพระพร.''

ร. ''ในพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง ในพระสาวกบ้าง.''

ถ. ''เออก็ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี พระสาวกก็ดี ยินดีการที่คนเหล่านี้ เข้าไปสู่แผ่นดินแล้วหรือ ขอถวายพระพร ?''

ร. ''หามิได้.''

ถ. ''ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น การบูชาที่ทายกกระทำแล้ว แด่พระตถาคตเจ้าผู้เสด็จปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงยินดีอยู่โดยแท้ ย่อมมีผลไม่เป็นหมัน.''

ร. ''พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาให้เข้าใจได้ดีแล้ว ข้อที่ลึกกระทำให้ตื้นแล้ว ที่กำบังพังเสียแล้ว ขอดทำลายเสียแล้ว ชัฏกระทำไม่ให้เป็นชัฏแล้ว วาทะของคนพวกอื่นฉิบหายแล้ว ทิฏฐิอันน่าชังหักเสียได้แล้ว พวกเดียรถีย์ผู้น่าเกลียด มาพบพระผู้เป็นเจ้าผู้ประเสริฐกว่าคณาจารย์ที่ประเสริฐเข้าแล้ว ย่อมสิ้นรัศมี.''

อ่านต่อ