เมณฑกปัญหา วรรคที่หนึ่ง

ก่อนหน้า

๓. เทวทัตตปัพพาชิตปัญหา ๓

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัตอันใครบวชให้แล้ว."

พระเถรเจ้าถวายวิสัชนาว่า "ขอถวายพระพร ขัตติยกุมารหกพระองค์ ทรงพระนามว่า ภัททิยกุมารหนึ่ง อนุรุทธกุมารหนึ่ง อานันทกุมารหนึ่ง ภัคคุกุมารหนึ่ง กิมพิลกุมารหนึ่ง เทวทัตตกุมารหนึ่ง นี้มีนายอุบาลีชาวภูษามาลาเป็นที่เจ็ด, ครั้นเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเจ้าตรัสรู้พระอภิสัมโพธิญาณแล้ว ยังความยินดีให้บังเกิดแก่ศากยตระกูลได้, ต่างองค์ต่างออกทรงผนวชตามพระผู้มีพระภาคเจ้า; พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดให้ทรงผนวชแล้ว."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัตบวชแล้วทำลายสงฆ์แล้ว มิใช่หรือ ?"

ถ. "ขอถวายพระพร พระเทวทัตบวชแล้ว ทำลายสงฆ์แล้ว. คฤหัสถ์ทำลายสงฆ์มิได้ ภิกษุณีก็ทำลายสงฆ์มิได้ สิกขมานาก็ทำลายสงฆ์มิได้ สามเณรก็ทำลายสงฆ์มิได้ สามเณรีก็ทำลายสงฆ์มิได้, ภิกษุมีตนเป็นปกติ ร่วมสังวาสเดียวกัน ร่วมสีมาเดียวกัน ย่อมทำลายสงฆ์!ด้."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า บุคคลผู้ทำลายสงฆ์ย่อมต้องกรรมอะไร ?"

ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ทำลายสงฆ์นั้น ย่อมต้องกรรมอันจะให้ตกนรกสิ้นกัปป์หนึ่ง."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่หรือว่า 'พระเทวหัตบวช แล้วจักทำลายสงฆ์' ครั้นทำลายสงฆ์แล้ว จักไหม้อยู่ในนรกสิ้นกัปป์หนึ่ง."

ถ. "ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทราบอยู่."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่ เมื่อเป็นอย่างนั้น คำว่า 'พระพุทธเจ้าประกอบด้วยพระกรุณาเอ็นดูสัตว์ ทรงแสวงหาธรรมที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลสัตว์ นำสิ่งซึ่งมิใช่ประโยชน์เสีย ตั้งสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ไว้แก่ สัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น' ดังนี้ ผิด. ถ้าและพระองคํไม่ทรงทราบเหตุอันนั้นแล้ว ให้บวชเล่าไซร้, เมื่อเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระสัพพัญญนะชิ. ปัญหาสองเงื่อนแม้นี้มาถึงท่านแล้ว ขอท่านจงสะสางเงื่อนอันยุ่งใหญ่นั้นเสีย ขอท่านจงทำลายปรัมปวาทเสีย, ในอนาคตกาลไกล ภิกษุทั้งหลายผู้มีปัญญาเช่นท่าน จักหาได้ยาก, ขอท่านจงประกาศกำลังปัญญาของท่านในปัญญาข้อนี้.

ถ. "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบด้วยพระกรุณา ทั้งเป็นพระลัพพัญญด้วย. ขอถวายพระพร เพราะความที่พระองค์ทรงพระกรุณา พระองค์ทรงพิจารณาดูคติของพระเทวทัต ด้วยพระสัพฬญณุตญาณ ทอดพระเนตรเห็นพระเทวทัต ผู้จะสะสมกรรมอันจะให้ผลในภพสืบ ๆ ไปไม่สิ้นสุด หลุดจากนรกไปสู่นรก หลุดจากวินิบาตไปสู่วินิบาต สิ้นแสนโกฏิแห่งกัปป์เป็นอันมาก, พระองค์ทรงทราบเหตุนั้นแล้วด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงพระดำริว่า 'กรรมของเทวทัตผู้นี้ เจ้าตัวทำแล้วหามีที่สุดลงไม่ เมื่อเธอบวชแล้วในศาสนาแห่งเรา จักทำให้มีที่สุดลงได้, เทียบกรรมก่อนเข้าแล้ว ทุกข์ยังจักทำให้มีที่สุดลงได้, โมฆบุรุษผู้นี้ ถ้าบวชแล้ว จักสะสมกรรมอันจะให้ตกนรกสิ้นกัปป์หนึ่ง, ดังนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัตบวชแล้ว ด้วยพระกรุณา."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระตถาคตเจ้าได้ชื่อว่าทรงตีแล้วทาให้ ด้วยน้ำมัน, ทรงทำให้ตกเหวแล้วยื่นพระหัตถ์ประทานให้, ทรงฆ่าให้ตายแล้วแสวงหาชีวิตให้, เพราะทรงก่อทุกข์ให้ก่อนแล้ว จึงจัดสุขไว้ให้ต่อภายหลัง."

ถ. "ขอถวายพระพร พระตถาคตได้ชื่อว่าทรงตีบ้าง ได้ชื่อว่าทรงทำให้ตกเหวบ้าง ได้ชื่อว่าทรงฆ่าให้ตายบ้าง ด้วยอำนาจทรงเห็นแก่ประโยชน์แห่ง สัตว์ทั้งหลายอย่างเดียว, อนึ่ง ได้ชื่อว่าทรงตีก่อนบ้าง ทรงทำให้ตกเหวก่อนบ้าง ทรงฆ่าให้ตายก่อนบ้าง แล้วจึงจัดประโยชน์ให้อย่างเดียว, เหมือนมารดาบิดาตีก่อนบ้าง ให้ล้มก่อนบ้าง แล้วจึงจัดประโยชน์ให้แก่บุตรทั้งหลายอย่างเดียวฉะนั้น. ความเจริญแห่งคุณจะพึงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยความประกอบอย่างใด ๆ, ย่อมทรงจัดสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ไว้แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้นด้วยนั้น

ขอกวายพระพร ถ้าพระเทวทัตนี้ไม่บวชแล้ว เป็นคฤหัสถ์อยู่จะกระทำ บาปกรรมอันให้ไปเกิดในนรกเป็นอันมาก แล้วจะไปจากนรกสู่นรก ไปจากวินิบาตสู่วินิบาต เสวยทุกข์เป็นอันมาก สิ้นแสนโกฏิแห่งกัปป์เป็นอันมาก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุอันนั้นอยู่ ด้วยกำลังพระกรุณา ทรงพระดำริเห็นว่า 'เมื่อพระเทวทัตบวชแล้วในพระศาสนาของเรา ทุกข์จักเป็นผลอันเจ้าตัวกระทำให้มีที่สุดลงได้' ดังนี้แล้ว ได้โปรดพระเทวทัตให้บวชแล้ว ได้ทรงกระทำทุกข์ของพระเทวทัตอันหนักนั้นให้เบาลงได้แล้ว.
ขอถวายพระพร เหมือนหนึ่งบุรุษมีกำลังทั้งทรัพย์สมบัติอิสสริยยศสิริ
และเครือญาติ รู้ว่าญาติหรือมิตรสหายของตนจะต้องรับพระราชอาชญาอันหนักแล้ว ด้วยความที่ตนเป็นผู้สามารถ โดยความคุ้นเคยกับคนเป็นอันมาก ได้กระทำโทษอันหนักนั้นให้เบาลงได้ ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดให้พระเทวทัต ผู้จะต้องเสวยทุกข์สิ้นแสนโกฏิแห่งกัปป์เป็นอันมากให้บวชแล้ว ด้วย ความที่พระองค์เป็นผู้สามารถด้วยพระกำลัง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และ วิมุตติ ทรงกระทำทุกข์ของพระเทวทัตอันหนักนั้นให้เบาได้ ฉันนั้น.
ขอถวายพระพร อนึ่ง เหมือนหมอบาดแผล ย่อมกระทำพยาธิอันหนัก ให้เขาได้ด้วยอำนาจโอสถมีกำลัง ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพระเทวทัตผู้จะต้องเสวยทุกข์สิ้นแสนโกฏิแห่งกัปป์เป็นอันมากให้บวชแล้ว ความที่พระองค์ทราบเหตุเครื่องประกอบแก้ แล้วทรงกระทำทุกข์อันหนักให้เบาได้ ด้วยกำลังโอสถคือธรรมอันเข้มแข็งด้วยกำลังพระกรุณา ฉันนั้นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำพระเทวทัตผู้จะต้องเสวยทุกข์มากให้ได้เสวยแต่น้อย จะต้องอกุศลอะไร ๆ บ้างหรือ ขอถวายพระพร."

ร. "ไม่ต้องเลย แม้โดยที่สุดสักว่าจะติเตียนด้วยวาจา."

ถ. "ขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงรับรองเหตุที่พระผู้มืพระภาคเจ้าโปรด พระเทวทัตให้บวชนี้โดยข้อความเหล่านี้แล.

ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุอื่นอีกยิ่งกว่านี้ ที่พระผู้มืพระภาคเจ้า โปรดพระเทวทัตให้บวช. เหมือนหนึ่งว่า ราชบุรุษลับโจรผู้กระทำความผิดได้แล้ว จะพึง กราบทูลแด่พระเจ้าแผ่นดินว่า 'โจรผู้นี้กระทำความผิดอย่างนี้ ๆ พระองค์จงลงพระราช อาญาแก่โจรนั้นตามพระราชประสงค์, ดังนี้, พระเจ้าแผ่นดินจะพึงรับสั่งให้ลงโทษโจรผู้นั้นว่า 'ถ้าอย่างนั้น ออเจ้าทั้งหลายจงนำโจรนี้ออกไปนอกเมือง จงตัดศีรษะมันเสียในที่ฆ่าโจร;' ราชบุรุษเหล่านั้นจะพึงรับ รับสั่งอย่างนั้นแล้วนำโจรนั้นออกนอกเมืองไปสู่ที่ฆ่าโจร, ยังมีบุรุษข้าราชการผู้หนึ่ง อันได้รับพระราชทานไว้แต่ราชสำนักแล้ว ได้รับพระราชทานฐานันดรยศ เงินประจำตำแหน่งและเครื่องอุปโภค เป็นผู้มีวาจาควรเชื่อถือ มีอำนาจทำได้ตามปรารถนา, เขาจะพึงทำความกรุณาแก่โจรนั้น แล้วกล่าวกะราชบุรุษเหล่านั้นว่า 'อย่าเลยนาย, ประโยชน์อะไรของท่านทั้งหลายด้วยการดัดศีรษะเขา, อย่ากระนั้นเลย ท่านจงตัดแต่มือหรือเท้าของเขารักษาชีวิตไว้เถิด, เราจักไปเฝ้าทูลทัดทาน ด้วยเหตุโจรผู้นี้เอง' เขาจะพึงตัดแต่มือหรือเท้าของโจรและรักษาชีวิตไว้ ตามถ้อยคำของราชบุรุษผู้มีอำนาจนั้น; บุรุษผู้กระทำอย่างนี้นั้น จะพึงชื่อว่ากระทำกิจการโดยเห็นแก่โจรนั้นบ้างหรือ ขอถวายพระ."

ร. ''บุรุษผู้นั้น ชื่อว่าให้ชีวิตแก่เขาน่ะซี เมื่อให้ชีวิตแก่เขาแล้ว มีกิจการอะไรเล่า ได้ชื่อว่าบุรุษนั้นไม่ได้กระทำแล้วโดยเห็นแก่เขา."

ถ. "ขอถวายพระพร ด้วยทุกขเวทนาในเพราะให้ตัดมือและเท้าเขานั้น ผู้บังคับนั้นจะพึงต้องอกุศลอะไรด้วยหรือ ?"

ร. "โจรนั้นย่อมเสวยทุกขเวทนา ด้วยกรรมอันตนกระทำแล้ว, ส่วน'บุรุษผู้ให้ชีวิต ไม่ควรต้องอกุศลอะไรเลย."

ถ. "ขอถวายพระพร ข้อนี้ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระเทวทัตให้บวชแล้วด้วยทรงเห็นว่า 'เมื่อพระเทวทัตบวชในศาสนาของเราแล้ว ทุกข์จักเป็นผลอันเจ้าตัวกระทำให้มีที่สุดลงได้, ฉันนั้น.
ขอถวายพระพร ทุกข์ของพระเทวทัตอันเจ้าตัวกระทำให้มีที่สุดลงได้แล้ว, พระเทวทัตในเวลาเมื่อจะตาย ได้เปล่งวาจาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะตราบเท่าสิ้นชีวิต ดังนี้ว่า 'ข้าพเจ้าทั้งกระดูกทั้งชีวิตทั้งหลายนี้ขอถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นยอดบุรุษ เป็นเทวดาเลิศล่วงเทวดา เป็นผู้ฝึกบุคคลควรฝึก ทรงพระญาณจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะกำหนดด้วยบุญร้อยหนึ่งพระองค์นั้นเป็นสรณะ."
ขอถวายพระพร พระเทวทัตเมื่อภัททกัปป์แบ่งแล้วเป็นหกส่วนส่วนที่ล่วงไปแล้ว ได้ทำลายสงฆ์แล้ว จักไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลประมาณห้าส่วน แล้วจักพ้นจากนรก นั้นมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอัฏฐิสสระ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอย่างนี้ พึงชื่อว่ากระทำกิจการโดยเห็นแก่พระเทวทัตบ้างหรือ ขอถวายพระพร."

ร. "พระตถาคตเจ้าได้ชื่อว่าประทานคุณอันเป็นที่ปรารถนาของเทวดามนุษย์ทั้งปวงแก่พระเทวทัต, เพราะพระองค์ทรงกระทำพระเทวทัตให้สำเร็จความเป็นเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้, มีอะไรได้ชื่อว่าพระองค์ไม่ได้กระทำโดยเห็นแก่พระเทวทัตเล่า."

ถ. "ขอถวายพระพร ด้วยการที่พระเทวทัตทำลายสงฆ์ แล้วเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้น พระตถาคตเจ้าจะต้องอกุศลอะไรบ้างหรือ ?"

ร. "ไม่ต้องเลย พระเทวทัตไหม้อยู่ในนรกกัปป์เดียว เพราะกรรมอันตนเองกระทำแล้ว, พระศาสดาผู้กระทำให้ถึงที่สุดทุกข์จะพึงต้องอกุศลอะไรหามิได้."

ถ. "ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงรับรองเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพระ เทวทัต'ให้'บวชแล้วแม้นี้ ด้วยข้อความนี้เถิด.

ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุแม้อื่นอีกยิ่งกว่านี้ ที่พระผู้มีพระภาค เจ้าโปรดให้พระเทวทัตบวชแล้ว. เหมือนหนึ่งหมอบาดแผล เมื่อจะรักษาแผลอันเกิด เพราะ ลม ดี เสมหะ แต่ละอย่างก็ดี เจือกันก็ดี ฤดูแปรก็ดี รักษาอิริยาบถไม่เสมอก็ดี เกิดเพราะพยายามแห่งผู้อื่น (มีต้องประหารเป็นต้น) ก็ดี อากูรด้วยกลิ่นเหม็น ดุจกลิ่น แห่งศพกำลังเน่า ให้ปวดดุจแผลอันต้องลูกศร เข้าไปติดอยู่ข้างใน อันนํ้าเหลืองนั้นชอน ไปให้เป็นโพลง เต็มไปด้วยบุพโพและโลหิต เขาย่อมพอกปากแผลด้วยยากัดอันแรงกล้า แสบร้อน เพื่อจะบ่มแผลก่อน, พอแผลน่วม เขาก็เชือดด้วยศัสตราแล้ว นาบด้วยซี่เหล็ก, พอเนื้อสุกแล้ว ก็ล้างด้วยน้ำด่างแล้วพอกยา เพื่อให้แผลงอกเนื้อ ให้คนไข้ได้ความสุข โดยลำดับ ดังนี้; จะว่าหมอนั้นคิดร้าย พอกยา เชือดด้วยศัสตรา นาบด้วยซี่เหล็ก ล้างด้วยน้ำด่าง ได้บ้างหรือ ?"

ร. "หามิได้ หมอเขามีจิตคิดเกื้อกูลหวังให้หาย จึงทำเช่นนั้น."

ถ. "ขอถวายพระพร หมอนั้นจะต้องอกุศลอะไร เพราะทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นแก่ คนไข้ ด้วยเหตุทำการรักษาของเขาด้วยหรือ ?"

ร. "หมอเขามีจิตเกื้อกูลหวังจะให้หาย จึงทำเช่นนั้น, ไฉนจะต้องอกุศลเพราะข้อ นั้นเป็นเหตุเล่า, เขากลับจะไปสวรรค์อีก."

ถ. "ขอถวายพระพร ข้อนี้ฉันใด, พระผู้มีพระภาคเจ้า,โปรดพระเทวทัต'ให้'บวช แล้ว เพื่อปลดเปลื้องทุกข์ด้วยกำลังพระกรุณา ก็ฉันนั้นแล.

ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงสดับเหตุอื่นอีกอันยิ่งกว่านี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพระเทวทัตให้บวชแล้ว. เหมือนหนึ่งบุรุษผู้ต้องหนามเข้าแล้ว,ทีนั้นบุรุษอื่นมี จิตคิดเกื้อกูลจะให้หาย จึงเอาหนามแหลมหรือปลายมีดกรีดตัดแผลโดยรอบแล้ว นำหนามนั้นออกด้วยทั้งโลหิตไหล; ขอถวายพระพร บุรุษผู้นั้นชื่อว่าคิดร้ายจึงนำหนามนั้น ออกบ้างหรือ ?"

ร. "หามิได้ เขามีจิตคิดเกื้อกูลหวังจะให้หาย จึงนำหนามนั้นออก, ถ้าเขาไม่ช่วย นำหนามนั้นออก บางทีผู้ต้องหนามนั้นก็จะถึงความตายหรือได้ทุกข์ปางตาย."

ถ. "ขอถวายพระพร ข้อนี้ฉันใด, พระตถาคตเจ้าโปรดพระเทวทัตให้บวชแล้ว เพื่อปลดเปลื้องทุกข์ด้วยกำลังพระกรุณา, ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้โปรดพระ เทวทัต'ให้'บวช เธอก็จักไหม้อยู่ในนรกโดยลำดับ ๆ ขุม แม้ตลอดแสนโกฏิแห่งกัปป์ ฉันนั้น."

ร. "พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าได้ชื่อว่าให้พระเทวทัตผู้ตกไปตามกระแสขึ้นสู่ ที่ทวนกระแสได้แล้ว, ให้พระเทวทัตผู้เดินผิดทางขึ้นในทางได้แล้ว, ได้ประทานวัตถุเป็น ที่ยึดเหนี่ยวแก่พระเทวทัตผู้ตกลงในเหวแล้ว, ให้พระเทวทัตผู้เดินในทางไม่สมํ่าเสมอขึ้น สู่ทางที่สมํ่าเสมอได้แล้ว. พระผู้เป็นเจ้า เหตุการณ์อันนี้ ผู้อื่นนอกจากผู้มีปัญญาเช่น ท่าน ไม่อาจแสดงได้."

อ่านต่อ