บทที่ 3

รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้ม Reversal Patterns

Reversal Patterns เป็นรูปแบบที่บอกเราว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีโอกาสที่จะหมดไป และแนวโน้มใหม่ที่ตรงข้ามกับของเดิมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างอาจจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดขึ้น เช่น แนวโน้มเดิมเป็น uptrend ดังนั้น เมื่อเกิดรูปแบบ reversal ขึ้น ก็หมายความว่า แนวโน้ม uptrend กำลังจะหมดไป ขณะที่แนวโน้ม downtrend กำลังจะเกิดขึ้นตามมา แต่ถ้าเดิมเป็น downtrend การเกิด reversal patterns ก็จะหมายถึง แนวโน้ม downtrend กำลังจะหมดไป ขณะที่แนวโน้ม uptrend มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นตามมา

เอ! แล้วรูปแบบที่ว่านั้นมีอะไรบ้างละ? นั่นละครับ เป็นสิ่งที่เราจะนำเสนอในบทนี้

.หัวและไหล่ (Head & Shoulders).

Head & Shoulders (หัวและไหล่) รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง? ดูจากรูปที่ 3.1a ดีกว่าจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

จากรูปจะเห็นว่า เดิมแนวโน้มเป็นขาขึ้น (uptrend) โดยมีจำนวนหุ้นสูงขึ้นตาม (ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่ช่วยเสริมว่าการเคลื่อนตัวนั้นเป็น uptrend) ซึ่งก็คือช่วงก่อนถึงจุด a นั่นเอง หลังจากนั้นจะเริ่มมีการปรับตัวลงมาสู่จุด b แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า จำนวนหุ้นนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนทั้งหลายยังคงมีความเชื่อว่า การปรับตัวลงนี้เป็นเพียงแค่การปรับตัวย่อยใน trend ใหญ่ที่ยังคงเป็น uptrend จึงทำให้มีการระบายหุ้นออกมาไม่มากนัก เพราะกลัวว่าถ้าระบายออกมาแล้ว จะซื้อกลับไม่ได้ (ราคาที่ซื้อกลับจะสูงกว่าตอนที่ขายไป) ซึ่งก็เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดการณ์ กล่าวคือในช่วงถัดมา ราคาหุ้นมีการดีดตัวขึ้นจาก uptrend line ขึ้นไปสู่จุด c ซึ่งสูงกว่าจุด a จำนวนหุ้นนั้นก็มากขึ้นตาม เพราะว่าทุกคนยังมองภาพเป็น uptrend อยู่ ก็เลยลุยกันแหลก หลังจากนั้นก็เริ่มมีการปรับตัวลงอีกครั้ง แต่ในขณะนี้ อาจจะกล่าวได้ว่ายังไม่มีใครมั่นใจแน่ชัดว่าจุด a นั้นจะเป็นไหล่ซ้าย และจุด c จะเป็นส่วนหัว ด้วยเหตุที่มันยังคงอยู่ในเชิง uptrend การปรับตัวลงมาครั้งนี้ ก็เป็นการลงมาทดสอบ uptrend line อีกครั้ง จำนวนหุ้นตอนแรกก็อาจจะยังไม่มากจนผิดสังเกต แต่เมื่อมาถึงจุดรับบนเส้น uptrend ปรากฏว่า แรงรับรับเอาไว้ไม่อยู่ จึงเกิดการทะลุเส้น uptrend ลงมา

ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าจะมีการปรับตัวลงอย่างจริงจัง ทำให้มีการระบายหุ้นออกมาอย่างมาก ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขึ้น ราคาก็อ่อนตัวลงมาเรื่อยจนถึงจุด d จึงเริ่มที่จะมีแรงรับกลับเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นมีการดีดตัวขึ้น แต่จำนวนหุ้นนั้นไม่มากตามเหมือนครั้งก่อนๆ เนื่องจากตอนนี้ทุกคนยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นการขึ้นจริง และมีความน่าจะเป็นที่จะปรับตัวลงอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงจุด e ก็มีแรงขายอันเกิดจากคนที่มีต้นทุนต่ำขายทำกำไรออกมาก่อน จุดนี้เองที่จะทำให้หลายๆฝ่ายเพิ่มความเชื่อ หรือเริ่มเห็นรูปแบบของการขึ้นหัวไหล่ซ้าย ส่วนหัวขึ้นมา และจุดที่พวกเขาอยู่ขณะนี้ ก็น่าที่จะเป็นหัวไหล่ขวา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะใช้ในการชี้ถึงการเกิดไหล่ขวา ก็คือ ร่องไหล่ (จุด d) ต้องไม่สูงกว่าจุด a และหัวไหล่ขวา (จุด e) ต้องไม่เลยส่วนหัวขึ้นไป (จุด c) และการปรับลงครั้งนี้จะมีจำนวนหุ้นมากตาม ซึ่งเป็นการยืนยันการปรับตัวลงโดยเฉพาะตอนที่ทะลุระดับเส้นคอ (neckline) ลงมาจะยิ่งเป็นการยืนยันการปรับตัวลง ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับ neckline ในกรณีที่แนวโน้มเดิมเป็นขาขึ้นนั้น ก็คือ เส้นนี้ต้องไม่มีความชัน (slope) เป็นลบ จึงจะเป็นรูปแบบ Head & Shoulders ของจริง

ถึงตอนนี้ทุกคนก็จะเห็นแล้วว่าการฟอร์มตัว head & shoulders มีความสมบูรณ์ เอ๊ะ! อย่างนี้จะเลิกเล่นกันไปเลยหรือ? เปล่าหรอก! ก็ยังมีบางกลุ่มที่รู้ว่า แม้จะเป็น head & shoulders ก็ยังมีวิธีการเล่นได้อยู่เหมือนกัน คือหลังจากที่ทิ้งของที่จุด e จนราคาตกทะลุ neckline ลงมา ตามหลักการเขาว่า ระดับที่ตกต่ำกว่า neckline ลงมา จะมีระยะเท่ากับ หรือใกล้เคียงกับระยะที่วัดจากจุด c ลงมาสู่เส้น neckline (ตามรูป) พวกนี้จะเริ่มลองเข้าไปรับ จึงทำให้มีการดีดตัวขึ้นอีก แต่จำนวนหุ้นก็ไม่มาก เพราะเป็นการเล่นช่วงสั้นๆ และพวกนี้จะเตรียมไปตั้งถล่มขายอีกครั้ง ที่จุด g เพื่อไม่ให้เลยเส้น neckline ขึ้นไป ก็จะทำให้ปรับตัวลงต่อ ซึ่งภาพที่เห็นในช่วงหลังการเกิดส่วนหัว ก็คือ downtrend

ค่อยๆอ่าน และทำความเข้าใจก่อนที่จะอ่านต่อไป เพราะถัดไปจะพูดอย่างสรุปถึง head & shoulders ในกรณีที่มีการเปลี่ยน trend จาก downtrend เป็น uptrend (รูปที่ 3.1b)

ในกรณีที่เปลี่ยนจาก downtrend เป็น uptrend สามารถเรียกอีกอย่างว่าเป็น reversed head & shoulders จะเห็นได้ว่าในช่วงก่อนถึงจุด a และ c ในรูปที่ 3.1b ตลาดยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วง downtrend จึงมีการขายหุ้นออกมาค่อนข้างมาก ในขณะที่การดีดตัวขึ้นในช่วง b มีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างน้อย เนื่องจากรู้ว่าช่วง b นั้นเป็นเพียงแค่การปรับตัวขึ้นใน trend ใหญ่ที่เป็น downtrend แต่การดีดตัวขึ้นจากจุด c อาจจะเป็นด้วยความเห็นของนักลงทุนที่ว่าราคาค่อนข้างต่ำพอสมควรแล้ว จึงเข้ามาเก็บของ ส่งผลให้ราคาขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดสามารถทะลุแนวต้านจาก downtrend line ได้ ก็จะมีแรงซื้อเข้ามาช่วยเสริมในการตะลุยขึ้นไปอีก ช่วงนี้จำนวนหุ้นจะมากขึ้นตาม แต่การขยับตัวขึ้นของมันก็ยังมีการถูกจำกัดอยู่ด้วยเส้นระดับคอ (neckline) คือแค่จุด d ก็มีการปรับตัวลง ความเป็นไปได้ที่จะเกิดไหล่ขวาจึงมีขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรู้ว่าการปรับตัวลงนี้ เป็นเพียงการปรับตัวชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากได้ข้ามเส้น downtrend มาแล้ว ทำให้ไม่มีการระบายหุ้นออกมาเท่าไหร่ สมมติว่าการฟอร์มไหล่ขวาสมบูรณ์แล้วที่จุด e ซึ่งร่องไหล่ขวา (จุด d) ต้องไม่อยู่ต่ำกว่าจุด a และหัวไหล่ขวา (จุด e) ต้องไม่ต่ำกว่าส่วนหัว (จุด c) หลังจากนั้นก็มีการขยับตัวในขาขึ้นอีก โดยมีแรงซื้อได้โหมเข้ามาอีกระลอก ทำให้เกิดการทะลุ neckline ขึ้นไป และได้รับการยืนยันจากการที่มีจำนวนหุ้นหรือ volume มากอย่างเพียงพอ ดังนั้น แม้ว่าจะมีการปรับตัวลง ในช่วงถัดมาทุกคนก็ไม่ขายออกมามาก เพราะเริ่มมีความเชื่อแล้วว่า trend นั้นได้มีการเปลี่ยนจาก downtrend เป็น uptrend แล้ว อ้อ! เกือบลืมบอกไปว่า neckline กรณีนี้ต้องไม่มีความชัน (slope) เป็นบวก ทำไม?ต้องเป็นเช่นนั้น ลองคิดดูครับ!

ตัวอย่างที่ 3.1 เป็นตัวอย่างจากของจริง ซึ้งจะเห็นได้ว่าเป็นการเกิด reversal patterns ในรูปของ head & shoulders ที่เปลี่ยนแนวโน้มขาลง (จากทางซ้ายมือ) เป็นแนวโน้มขาขึ้น (ทางขวามือ)

เนื้อหาต่อไป : Triple Top และ Triple Bottoms

prevcontentnext

เนื้อหาก่อนหน้า : แนวรับและแนวต้าน Support and Resistance