คำแนะนำในการลงทุน
นักลงทุนที่ได้รับการรับรอง
นักลงทุนที่ได้รับการรับรองแล้วคือบุคคลที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 200,000 เหรียญ (หรือคู่สมรสที่มีรายได้รวมต่อกันไม่น้อยกว่า 300,000 เหรียญ) หรือเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินสุทธิของตนเอง หรือรวมของคู่สมรสด้วยไม่น้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ
นักลงทุนที่ได้รับการรับรองอาจจะมีเงินในการลงทุนจำนวนมาก แต่มักไม่มีความรู้ในการจัดการกับเงินนั้นการลงทุนในหน่วยลงทุน เช่นการลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจจะสามารถช่วยพวกเขาได้โดยการให้นักบริหารมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหาร โดยอาจจะเป็นเจ้าของหุ้นจำนวนน้อยในหลายๆบริษัทเพราะจะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยง นักลงทุนยังสามารถเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงในระดับที่ตัวเองรับได้ เช่น กองทุนตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนกว่ากองทุนหุ้น เพราะมีรายได้จากดอกเบี้ยสม่ำเสมอ
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์มีทั้งส่วนที่เกี่ยวกับการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป และการเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด มีข้อยกเว้นบางประการ ประเด็นสำคัญคือที่ต้องเข้าใจนิยามของนักลงทุนที่ได้รับการรับรองให้ชัดเจน
นักลงทุนที่มีคุณภาพ
นักลงทุนที่มีคุณภาพ เป็นคนที่มีเงินและมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งก็มักจะเป็นนักลงทุนที่ได้รับการรับรองด้วย โดยพวกเขามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง การลงทุนโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน และการลงทุนโดยอาศัยปัจจัยเทคนิค
1. การลงทุนโดยอาศัยปัจจัย นักลงทุนที่อาศัยปัจจัยพื้นฐานจะวิเคราะห์งบการเงินรวม ทั้งดูสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นอยู่ก่อนจะลงทุน รวมไปถึงการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยด้วย
2. การลงทุนโดยอาศัยปัจจัยทางเทคนิค นักลงทุนโดยอาศัยปัจจัยเทคนิคจะศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น และวิเคราะห์ดูว่าปริมาณของหุ้นที่มีขายอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการหรือไม่
การลงทุนทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันมาก นักลงทุนที่อาศัยปัจจัยพื้นฐานวิเคราะห์บริษัทจากลงการเงินและประเมินจุดอ่อนจุดแข็ง รวมทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต นอกจากนี้ยังติดตามสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของบริษัทนั้นด้วย ส่วนนักลงทุนที่อาศัยปัจจัยทางเทคนิคจะลงทนโดยอาศัยข้อมูลจาก กราฟซึ่งแสดงการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณหนี้ รวมทั้งแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคา นอกจากนี้ยังดูสัดส่วนซื้อขายและปริมาณการขายชอร์ตในหุ้นนั้น ดังนั้นนักลงทุนที่มีคุณภาพต้องเก่งทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค
การที่คนทั่วไปอยากเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพเพราะนักลงทุนที่มีคุณภาพจะมีทักษะในการลดความเสี่ยง และทำกำไรไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง นักลงทุนที่มีคุณภาพมักจะป้องกันความเสี่ยง ในการลงทุนทั้งในยามที่หุ้นขึ้นแรงๆหรือดิ่งลง คือพวกเขาสามารถทำกำไรได้ทั้งสองทาง รวมทั้งป้องกันการขาดทุนด้วย
ปัญหาของนักลงทุนหน้าใหม่ส่วนใหญ่ก็คือ พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับภาวะ การตลาดหมี (Bear Market) เพราะตั้งแต่ปี 1974 มาจนถึงปัจจุบันตลาดอยู่ในภาวะกระทิง (Bull Market) ตลอดมา ผู้จัดการกองทุนหลายคนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ยังเป็นเด็กมาก พวกเขาจึงไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกในช่วงตลาดพังหรือตลาดหมีได้ โดยเฉพาะถ้ามันเกิดไม่ฟื้นขึ้นมาเลยเป็นปีๆเหมือนกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น
สาเหตุที่ตลาดร่วงเร็วในยุคสารสนเทศ คือการขนย้ายเงินข้ามประเทศนั้นทำได้ง่ายและสามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อขนเงินออกจากประเทศใดเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะจมดิ่งลงทันที ซึ่งก็ไม่มีนักลงทุนคนไหนสนใจอยากจะลงทุนในประเทศนั้น แต่ทุกประเทศสามารถป้องกันตลาดล้มได้จากการสร้างฐานะการเงินของประเทศ ให้แข็งแกร่งและมีมาตรฐานทางการเงิน
นักลงทุนผู้ชาญฉลาด
นักลงทุนผู้ชาญฉลาด เป็นนักลงทุนที่มีความรู้และมีความเข้าใจในกฎหมาย โดยทั่วไปนักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะศึกษากฎหมายเพื่อวางกลยุทธในการลงทุน และนักลงทุนผู้ชาญฉลาดมักจะได้รับผลตอบแทนที่สูงและมีความเสี่ยงต่ำ นักลงทุนผู้ชาญฉลาดสามารถใช้ประโยชน์จาก E – T – C เนื่องจากนักลงทุนผู้ชาญฉลาดมีความรู้ทางด้านกฎหมายจึงสามารถเข้าใจ การควบคุม Entity หรือรูปแบบนิติบุคคลที่จะทำธรกิจ และสามารถที่จะควบคุมเวลาในการจ่ายภาษี คือสามารถประวิงเวลาในการจ่ายภาษีให้ช้าออกไป หรือนำเงินที่จะต้องจ่ายภาษีไปหมุนโดยการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนผู้ชาญฉลาดเข้าใจสามารถควบคุมได้คือลักษณะของรายได้ เพราะนักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะสร้างรายได้จากทรัพย์สินและรายได้จากการลงทุน ซึ่งรายได้สองตัวนี้จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้จากเงินเดือน และไม่ต้องเสียเงินประกันสังคม