ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย

เลือกมาซักคู่ คู่ไหนก็ได้

นักเทรด Forex หลายคนใช้เทคนิคในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของค่าเงินหนึ่งกับอีก ค่าเงินหนึ่ง ในการตัดสินว่าค่าเงินไหนจะอ่อนค่า และค่าเงินไหนจะแข็งค่า

ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสองค่าเงิน เป็นที่รู้จักกันในเรื่องของ ความแตกต่างของ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่คุณต้องเอาใจใส่ เรื่องนี้ช่วยคุณในการวิเคราะห์การ เคลื่อนไหวของค่าเงิน

ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่มากขึ้นจะช่วยให้ค่าเงินที่มีผลตอบแทนดีกว่านั้นแข็งแกร่ง มากขึ้น ขณะที่ความแตกต่างของดอกเบี้ยค่าเงินที่มีส่วนต่างน้อยกว่าจะช่วยให้ค่าเงินที่มีอัตรา ดอกเบี้ยน้อยกว่าได้เปรียบ

เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสองประเทศ เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกันจะทำให้ตลาดนั้นแกว่ง ตัวสูง

อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มในค่าเงินใดค่าหนึ่ง บวกกับอีกค่าหนึ่งที่มีอัตราดอกเบี้ยลดลงนั้นจะทำให้ เกิดการแกว่งตัวสูง !

รูปธรรม กับ นามธรรม

เมื่อคนเริ่มพูดกันเรื่องอัตราดอกเบี้ย พวกเขาก็จะเอ่ยถึงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นรูปธรรมและดอกเบี้ย ที่เป็นนามธรรม

แล้วมันแตกต่างกันยังไง ?

อัตราดอกเบี้ยที่เป็นนามธรรมจะไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรได้เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยแบบนามธรรมก็คืออัตราดอกเบี้ยก่อนที่จะมีการประกาศอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง

อัตราดอกเบี้ยที่รูปธรรม = อัตราดอกเบี้ยนามธรรม - ค่าเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่เป็นนามธรรมปกติจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเห็นได้ทั่วไป (เงินปันผลของพันธบัตร และอื่น ๆ)

อีกแง่หนึ่งตลาดจะไม่มีผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยนี้ แต่ว่าตอบรับจากอัตราดอกเบี้ยที่เป็น รูปธรรมมากกว่า

ถ้าคุณถือพันธบัตรที่ผลตอบแทน 6 % ต่อปี แต่ว่าพอประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาแล้วเท่ากับ 5 % ต่อปี อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่แท้จริงก็เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

วูฮู้ววววว!

นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากดังนั้นคุณต้องจำไว้เสมอว่ามันต่างกันยังไง

นโยบายการเงิน 411

ตามที่เราได้พูดก่อนหน้า รัฐบาลของแต่ละประเทศ และธนาคารกลางจะกำหนดนโยบายการเงิน จะมีอำนาจในการกำหนดเป้าหมายหรือทิศทางเศรษฐกิจ

ธนาคารกลางและนโยบายทางการเงินเป็นเรื่องที่มาด้วยกันซึ่งคุณจะเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องใดเรื่อง หนึ่งไม่ได้

ขณะที่เป้าหมายบางอย่างจะถูกกำหนดด้วยปัจจัยจากธนาคารหลาย ๆ ธนาคาร ซึ่งธนาคาร กลางแต่ละแห่งนั้นมีเป้าหมายในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน

ที่สุดแล้วนโยบายการเงินนั้นก็ตั้งขึ้นเพื่อคงไว้ซึ่งเสถียรภาพและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ มั่นคง

ในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ธนาคารกลางจะต้องใช้นโยบายทางการเงินดังนี้ :

- อัตราดอกเบี้ยผูกติดกับค่าเงิน

- การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ

- อุปทานของค่าเงิน

- เงินสำรองคงคลังของธนาคาร

- และอัตราส่วนเงินกู้ดอกเบี้ยซื้อลด ที่ให้กับธนาคารพาณิชย์

ประเภทของนโยบายการเงิน

นโยบายการเงินนั้นมีอยู่ไม่กี่แบบ คือ นโยบายการเงินแบบหดตัว (Contractionary) หรือ นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy Monetary) ซึ่งจะใช้เพื่อลดขนาด ของปริมาณเงินในตลาด และจะเกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ประเด็นคือเป็นการลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการใช้ดอกเบี้ยที่สูง การกู้ยืมเงินจาก ธนาคารจึงเริ่มยากมากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการใช้จ่ายและการลงทุนทั้งจาก ผู้บริโภคและนักลงทุนเอง

นโยบายการเงินแบบขยาย (Expansionary monetary) พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ขยายและเพิ่ม ปริมาณเงินขึ้น และทำการลดอัตราดอกเบี้ย

เมื่อต้นทุนการกู้ยืมมีต่ำเพื่อที่จะให้มีการลงทุนและมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

นโยบายการเงินแบบพอดี (Accommodative monetary) นโยบายนี้พยายารมที่จะสร้างอัตรา การเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งนโยบายการเงินประเภทนี้จะต้องลดเงิน เฟ้อ หรือควบคุมการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

สุดท้าย นโยบายการเงินที่มีมาก็เพื่อจะสร้างอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและมีภาวะเงิน เฟ้อที่ต่ำ

สิ่งสำคัญอยางหนึ่งที่ควรจะจำไว้เกี่ยวกับเงินเฟ้อคือ ธนาคารกลางจะมีอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้วในใจ เช่น 2 เปอร์เซ็นต์

พวกเขาอาจจะไม่ออกมาบอกเรื่องนี้แต่ว่านโยบายการเงินของเขาก็จะพยายามควบคุมให้มันอยู่ ในระดับนี้

พวกเขารู้ว่าเงินเฟ้อ ในบางมุมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้สามารถทำให้ผู้คนนั้น ขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ งานและเงินของพวกเขา

การที่มีระดับเป้าหมายเงินเฟ้อต่างๆ นี้ ธนาคารกลางจะช่วยให้พวกนักลงทุนรู้ว่าพวกเขาจะ จัดการกับสภาะเศรษฐกิจปัจจุบันยังไง

เรามาลองดูตัวอย่างกัน

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคา ปี 2010 อัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักร พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 3.5 % จาก 2.9 เปอร์เซ็นต์ภายใน 1 เดือน ซึ่งด้วยเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2 เปอร์เซ็นต์ทำให้อัตรา เงินเฟ้อนี้มันมากกว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษประมาณการณ์ไว้

Mervyn King,ผู้ว่าการธนาคาร BOE (Bank Of England) ได้ออกรายงานเพื่อให้ผู้คนนั้นเข้าใจ ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อและ อัตราเงินเฟ้อนั้นจะลดลงในไม่ช้าและทาง ธนาคารกลางก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก

ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะเป็นจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็น เราเพียงแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่า มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดมากนัก เมื่อเรารู้ว่าทำไมธนาคากรกลางได้ทำหรือไม่ได้ทำอะไรลงไปบ้างที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่ตั้งไว้

แน่นอนว่า นักเทรดชอบความเสถียร

ธนาคารกลางก็ชอบความเสถียร

เศรษฐกิจก็ชอบความเสถียร ถ้าเรารู้ว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่เราตั้งไว้จะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่า ทำไมธนาคารถึงตัดสินใจอย่างนั้น

เนื้อหาต่อไป : วันแล้ววันเล่ากับวัฏจักรของนโยบายการเงิน

prevcontentnext

เนื้อหาก่อนหน้า : อัตราดอกเบี้ย 101