ทฤษฎีดอลล่าร์ยิ้ม

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเงินดอลล่าร์ นั้นแข็งค่าทั้งช่วงเวลาที่ตลาดเล่นยาก และช่วงที่เศรษฐกิจดี เอาละจริงๆ แล้วทฤษฎี มอร์แกน สแตนลี่ (ธนาคาร ยักษ์ใหญ่) ได้อธิบายทฤษฎีนี้ไว้อย่างชาญฉลาด

Stephen Jen, นักเศรษฐศาสตร์ และนักวางแผนค่าเงิน บอกว่าทฤษฎีนี้เรียกว่า ทฤษฎีดอลล่าร์ยิ้ม ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุการสามเหตุการณ์ที่ส่งผลกับทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลล่าร์ มาดูรูปกัน :

เหตุการณ์ที่ 1 : ดอลล่าร์แข็งค่าเพราะว่ามีการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่วนแรกของยิ้มแสดงให้เห็นถึงการใช้เงินดอลล่าร์ในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่วนแรกของยิ้มแสดงว่าดอลล่าร์นั้นได้รับประโยชน์จากการที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากค่าเงินอื่น เช่นเงินเยน เนื่องจากนักลงทนุคิดว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกไม่มั่นคง พวกเขาไม่อยากเสี่ยงสินทรัพย์ของพวกเขา จึงมาลงทุนในค่าเงินดอลล่าร์ ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า

เหตุการณ์ที่ 2 : ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่ามากที่สุด ส่วนก้นของยิ้มหมายความว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมีพื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนตัวลงมาก ซึ่งอาจจะมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยของค่าเงินดอลล่าร์ได้ด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในดอลล่าร์ นักลงทุนจึงมีแต่ "Sell! Sell! Sell!"

เหตุการณ์ที่ 3 : ดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นอีกครั้งเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นรูปยิ้ม เพราะว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเริ่มดีขึ้น สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและปรากฏชัดเจนขึ้น หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ รับรู้ GDP ที่สูงขึ้น และความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นด้วย

ทฤษฎีนี้รู้สึกว่าจะเห็นใช้ในช่วงปี 2007 ช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินใหม่ๆ จำได้ไหมว่าตอนที่ดอลล่าร์กำลังพุ่งขึ้นอย่างแรง ช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเป็นขาขึ้น นั่นเป็นช่วงเหตุการณ์ที่ 1

และตลาดเข้าสู่ในช่วงขาลงสุด ๆ ในเดือนมีนาคมปี 2009 ซึ่งพวกนักลงทุนก็ทยอยย้ายการลงทุนไปยังตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งทำให้ดอลล่าร์เป็นค่าเงินที่แย่ที่สุดในปี 2009

ดังนั้น ทฤษฎีดอลล่าร์ยิ้มจะเป็นจริงได้ไหม?

เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้

นี่เป็นทฤษฎีสำคัญที่ต้องจำไว้เลยว่า เศรษฐกิจนั้นมีวัฎจักรของมัน

และเราต้องรู้ว่าตอนนี้มันกำลังอยู่ช่วงไหนของวัฎจักรเศรษฐกิจ

เนื้อหาต่อไป : intermarket correlation

prevcontentnext

เนื้อหาก่อนหน้า : เทรด ดัชนีถ่วงน้ำหนัก Dollar Index