ความเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว
การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานยังสามารถช่วยบอกความเป็นไปของตลาดในระยะยาวว่ามี ความแข็งแกร่งหรืออ่อนตัวของค่าเงินหลักๆ ซึ่งเราได้รวบรวมส่วนสำคัญๆ ให้คุณไว้แล้วดังนี้:
การเติบโตและภาพรวมทางเศรษฐกิจ
เรามาเริ่มกันด้วยเรื่องง่ายๆ ก่อนด้วย ภาพรวมทางเศรษฐกิจซึ่งกำหนดโดยผู้บริโภค หน่วยธุรกิจและรัฐบาล มันเข้าใจได้ไม่ยากเมื่อผู้บริโภครับรู้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะรู้สึกปลอดภัยและมีความสุข และพวกเขาจะใช้เงิน บริษัทก็อยากจะได้เงินจากพวกเขา และ พูดว่า “เราทำเงินได้เยอะแยะเลย แล้วเราจะเอาเงินไปทำอะไรดี ?”
บริษัทจะใช้จ่ายเงิน และทั้งหมดนี้จะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล และรัฐบาลก็จะเริ่มใช้เงิน เมื่อทุกคนใช้เงิน ซึ่งก็จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจภาพรวม
อีกแง่หนึ่ง เมื่อธุรกิจซบเซา ผู้บริโภคจะไม่ใช้จ่ายมากนักและธุรกิจก็จะไม่ได้เงินและพวกเขาก็จะไม่มีเงินไปจ่ายให้รัฐบาล ซึ่งรัฐบาลก็ยังคงต้องจ่ายอยู่ แล้วตอนนี้พอจะมองภาพออกกันรึยัง ทั้งสองเหตุการณ์มีด้านที่เป็นผลดีและผลเสียกับภาพรวมเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ตลาดเงินตรา
กระแสทุน
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตมีส่วนสำคัญที่ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ไม่เว้นแต่ที่บ้านของคุณ เพียงแค่คุณคลิ๊กเม้าส์ หรือว่าใช้โทรศัพท์โทรหาโบรกเกอร์ (ถ้ายังอยู่ในยุคไดโนเสาร์อยู่) คุณสามารถลงทุนในตลาด หุ้นนิวยอร์ค ตลาดหุ้นลอนดอน คุณสามารถเทรดดัชนี นิเกอิ ฮังเสง หรือเปิดบัญชีเล่นโฟเร็ก ในการเทรดค่าเงิน ยูโร ค่าเงินสหรัฐฯ เยน หรือค่าเงินอื่นๆ ได้จากที่บ้านของคุณ
กระแสของทุนนั้นสามารถบอกจำนวนเงินที่ไหลเข้าไหลออกประเทศหรือภาวะเศรษฐกิจ เพราะว่าการซื้อขายในการลงทุน สิ่งสำคัญที่คุณต้องเอาใจใส่ก็คือ ความสมดุลกันของกระแสทุน ซึ่งจะออกมาเป็นบวกหรือเป็นลบ (เรียกอีกอย่างว่า เกินดุล ขาดดุล)
เมื่อประเทศมีกระแสทุนเป็นบวก นักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาในประเทศที่มีผลตอบแทนใน การลงทุนที่ดีกว่า ขณะที่ประเทศที่มีกระแสทุนเป็นลบจะส่งผลตรงกันข้าม การลงทุนก็จะทยอยลดๆไปยังผลตอบแทนที่มีผลตอบแทนดีกว่า
เมื่อมีการลงทุนเพิ่มเข้ามาในประเทศ อุปสงค์ก็จะเพิ่มขึ้นในประเทศหรือค่าเงินของประเทศนั้น ๆ พวกเขาก็จะต้องขายเงินตัวเองแล้วมาซื้อเงินของประเทศที่พวกเขาต้องเข้าไปลงทุนนั้น อุปสงค์นี้ทำให้ค่าเงินมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คือทฤษฏีอุปสงค์อุปทานธรรมดานั่นแหละ
และลองคิดดูสิ ถ้าอุปทานสูงสำหรับค่าเงินค่าเงินหนึ่ง (หรือ อุปสงค์อ่อนนั่นเอง) ค่าเงินก็จะด้อย มูลค่าลงเมื่อนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศก็ไม่อยากจะลงทุนในประเทศนั้นๆ และ คุณก็จะเหลือค่าเงินของคุณเต็มไปหมด ซึ่งพวกเขาจะซื้อหรือขายค่าเงินนั้นหมายความว่าพวก เขาก็กำลังลงทุนในประเทศนั้นด้วย
กระแสทุนนอกนั้นไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษนอกจากประเทศที่มีผลตอบแทนสูง หรืออัตรา ดอกเบี้ยสูง ถ้าประเทศนั้นมีสภาวะการเงินภายในแข็งแกร่งยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ยิ่งทำให้ตลาดหุ้น นั้นคึกคัก (เหมือนตลาดหุ้นไทยที่พึ่งทะลุพันจุด) จะมีใครไม่ชอบบ้างล่ะ พวกนักลงทุนต่างชาติ จะเข้ามาอย่างไม่ขาดสายและอีกครั้ง อุปสงค์ของเงินในประเทศนั้นก็จะเพิ่มขึ้นและทำให้มูลค่า ของมันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หมายเหตุ
อุปสงค์ คือ ความต้องการในปริมาณสินค้าของผู้ซื้อ
อุปทาน คือ ความต้องการขายในปริมาณสินค้าของผู้ขาย
รายละเอียดเพิ่มเติมประเภทของอุปสงค์หาอ่านได้ทั่วไป
กระแสการค้าและดุลการค้า
เราอาศัยอยู่ในโลกแห่งตลาด ประเทศบางประเทศขายสินค้าของพวกเขาให้กับอีกประเทศหนึ่ง ที่พวกเขาต้องการซื้อมันเรียกว่าการส่งออก ขณะที่อีกประเทศที่ซื้อสินค้ามาจากประเทศหนึ่ง เรียกว่าการนำเข้า ลองดูรอบๆ บ้านของคุณสิ สิ่งของต่างๆ (อุปกรณ์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ของ เล่น) ที่อยู่รอบๆ บางทีไม่ได้มาจากประเทศของเราเอง
ทุก ๆครั้งที่คุณซื้ออะไรก็ตาม คุณต้องจ่ายเงินที่คุณหามาได้ให้เขาไป
ใครก็ตามที่คุณซื้อของคุณก็ต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน
ผู้นำเข้าชาวสหรัฐนั้นแลกเงินกับผู้ส่งออกชาวจีนเมื่อพวกเขามีการซื้อขายสินค้ากัน และ ผู้ ส่งออกชาวจีนก็แลกเปลี่ยนเงินกับผู้ส่งออกชาวยุโรปเมื่อพวกเขาซื้อสินค้ามาจากชาวยุโรป
กิจกรรมทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือการขาย จะต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตราเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทำให้กระแสเงินทุนนั้นไหลเข้าและไหลออกจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศ หนึ่ง

ดุลการค้า หรือความสมดุลของการค้า หรือว่ายอดส่งออกสุทธิ เราสามารถวัดได้จากอัตราส่วน การส่งออกต่อการนำเข้า ซึ่งมันจะแสดงอุปสงค์ของสินค้าและบริการในประเทศนั้นๆ และ ส่งผลถึงค่าเงินด้วยเช่นกัน ถ้าการส่งออกสูงกว่าการนำเข้า การค้าก็จะมีผลเป็นบวก และถ้าการ นำเข้ามียอดสูงกว่าการส่งออกดุลการค้าก็จะมีผลเป็นลบ
ดังนั้นเราก็จะได้ :
การส่งออก > การนำเข้า = การค้าได้ดุล = ดุลการค้าเป็นบวก (+)
การนำเข้า > การส่งออก = ขาดดุลการค้า t = ดุลการค้าเป็นลบ (-)
การขาดดุลการค้าทำให้ค่าเงินนั้นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่น ผู้นำเข้าจะขายค่าเงินที่พวก เขามีเพื่อจะซื้อค่าเงินของประเทศที่เป็นคู่ค้าที่มีสินค้าที่พวกเขาต้องการซื้อ เมื่อการค้าเกิดขึ้น ค่าเงินท้องถิ่นจะถูกขายเพื่อจะเอาไปซื้อสินค้า เพราะด้วยเหตุนี้ ค่าเงินของประเทศที่ขาด ดุลการค้าก็จะมีอุปสงค์ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินที่มีดุลการค้าเกินดุล
ด้านผู้ส่งออก ประเทศที่มียอดส่งออกมากกว่านำเข้า ค่าเงินของพวกเขาจะถูกซื้อโดยประเทศที่ สนใจในสินค้าของพวกเขา และทำให้เกิดอุปสงค์สูงขึ้น ทำให้ค่าเงินมีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของค่าเงิน เมื่อค่าเงินมีอุปสงค์สูงขึ้นจะมีค่ามากกว่าประเทศที่มีค่าเงินอุปสงค์ ลดต่ำลง
เหมือนกับนักร้องดัง ๆ เช่น Lady Gaga มีอุปสงค์มากว่า Brithey Spear เหมือนกับที่ Justin Bieber เมื่อเทียบกับ Vanilla Ice
รัฐบาล : ปัจจุบันและอนาคต
ปี 2009 และ 2010 เป็นปีที่ทุกคนรู้มั้ย...อร่อยการทำงานของรัฐบาลแต่ละประเทศ และคิดว่าพวก เขากำลังเผชิญกับสภาพปัญหาทางการเงินที่ยากโจทย์หนึ่ง และหวังว่านโยบายการคลังนั้นจะ สามารถเยียวยาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ความไม่แน่นอนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือว่าความ เปลี่ยนแปลงของรัฐสภา สามารถส่งผลทางตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลกระทบของเศรษฐกิจก็จะกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนไปด้วย (ในที่นี้หมายถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ)